บทวิเคราะห์เศรษฐกิจประจำสัปดาห์

เศรษฐกิจมหภาค

ภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำสัปดาห์

04 มีนาคม 2568

ความรุนแรงของสงครามทางการค้าที่สูงขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการเพิ่มสูงขึ้นของเงินเฟ้อ

 

สหรัฐ

 

โอกาสปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนมีนาคมมีความไม่แน่นอนสูง หลังตัวเลขเศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอตัวมากขึ้น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือนที่ 98.3 ในเดือนกุมภาพันธ์ สอดคล้องกับ GDP ที่ขยายตัวลดลงจาก 3.1% ในไตรมาส 3 สู่ระดับ 2.3% QoQ ในไตรมาส 4 ปี 2567 ขณะที่ในเดือนมกราคม อัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE ชะลอลงสู่ 2.5% YoY จากเดือนก่อนหน้าที่ 2.6% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานที่วัดจาก Core PCE ชะลอลงสู่ 2.6% จาก 2.9% ขณะที่

ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่มความเสี่ยงด้านสูง (upside risks) ต่อต้นทุนการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดลดทอนโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในการประชุมวันที่ 18-19 มีนาคม อย่างไรก็ตาม จากภาวะทางการเงินที่ตึงตัว เช่น ยอดการรีไฟแนนซ์หนี้ของภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้นภายใต้อัตราดอกเบี้ยที่ยังสูง, ยอดการผิดนัดชำระหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคลของครัวเรือนที่สูงสุดในรอบกว่า 10 ปี, รวมถึงผลจากนโยบายการค้าและการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย ปัจจัยข้างต้นเหล่านี้นับเป็นความเสี่ยงขาลง (Downside risk) ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจกดดันให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2-3 ครั้งในปีนี้

 


 

ยูโรโซน

 

เศรษฐกิจยูโรโซนมีแนวโน้มโตต่ำ ท่ามกลางความเสี่ยงของสงครามการค้าที่สูงขึ้น กลุ่มพันธมิตรพรรค CDU/CSU ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปของเยอรมนีด้วยสัดส่วน 28.6% ตามมาด้วยพรรค Afd (20.8%), SPD (16.4%), และ Greens (11.6%) โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการจัดตั้งรัฐบาลผสม (Coalition) จากภาพดังกล่าวแม้ว่าจะช่วยเพิ่มความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเยอรมนีผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่จากปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิต สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงข้อจำกัดของการเป็นรัฐบาลผสม อาจยังเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

ภาพรวมเศรษฐกิจยูโรโซนยังคงอ่อนแอจากภาคการผลิตที่หดตัวต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นที่อยู่ในระดับต่ำ และสงครามทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่อาจถูกยกระดับความรุนแรงขึ้น อาทิ นโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff)  รวมถึงการขู่ขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และสินค้าอื่นๆ ของยุโรปที่ 25% อาจนำไปสู่การใช้มาตรการตอบโต้กลับจากทางยุโรปและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยูโรโซน โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสูง เช่น เยอรมนี ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีประเมินว่า ECB มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 2.50% ในการประชุมวันที่ 6 มีนาคม 2568

 


 

จีน
 

เศรษฐกิจจีนยังขาดแรงหนุนจากการบริโภคและการลงทุน คาดรัฐบาลประกาศมาตรการกระตุ้นเพิ่มในการประชุมสองสภาประจำปี ทางการ (NBS) รายงาน PMI ภาคการผลิต ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่และ PMI นอกภาคการผลิตสูงขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ (ดังรูป) ขณะที่ราคาบ้านใหม่และบ้านมือสองเฉลี่ยใน 70 เมืองหดตัวชะลอจาก -5.7% YoY ในเดือนธันวาคมเป็น -5.4% ในเดือนมกราคม และจาก -8.1% เป็น -7.8% ตามลำดับ

เศรษฐกิจจีนโดยรวมยังคงผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจ และเผชิญแรงกดดันจากปัญหาอุปทานส่วนเกินในภาคการผลิตและภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงความเสี่ยงจากสงครามการค้า วิจัยกรุงศรีคาดว่ารัฐบาลจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมสองสภาที่จะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนมีนาคม โดยเน้นไปที่การสนับสนุนการเติบโตของการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการผลิต ขณะเดียวกันรัฐบาลน่าจะยังคงเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ราว 5% แต่อาจเพิ่มการขาดดุลงบประมาณจาก 3% ต่อ GDP เป็น 4% เพื่อให้สอดรับมาตรการกระตุ้นที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในปี 2568

 



 

วิจัยกรุงศรีคาดเศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัว 2.7% จาก 2.5% ในปีก่อน ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มคงไว้ที่ 2.0% ในช่วงที่เหลือของปี

.

เศรษฐกิจเดือนมกราคมได้แรงหนุนจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ ล่าสุดวิจัยกรุงศรีปรับประมาณการเศรษฐกิจปีนี้เติบโตอยู่ที่ 2.7% ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาพรวมเศรษฐกิจในเดือนแรกของปี 2568 ได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ปรับดีขึ้นต่อเนื่องทั้งจำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้านการบริโภคภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากมาตรการรัฐ สอดคล้องกับกิจกรรมการค้า การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนภาคเอกชน ด้านการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนแต่ยังกระจุกตัวแค่บางหมวด สำหรับการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวต่อเนื่องจากทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน

เศรษฐกิจในช่วงต้นปีนี้ยังได้แรงหนุนจากภาคท่องเที่ยวและปัจจัยบวกชั่วคราวของมาตรการภาครัฐ  ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจทั้งปี 2568 วิจัยกรุงศรีคาดว่าจะขยายตัว 2.7% ดีขึ้นเล็กน้อยจาก 2.5% ในปีก่อน โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจาก (i) ภาคท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่องแม้จะยังไม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ที่ 38 ล้านคน (ii) การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นตามการจัดทำงบประมาณผนวกกับการเบิกจ่ายที่กลับมาเป็นปกติหลังจากล่าช้าในปีก่อน (iii) การลงทุนภาคเอกชนพลิกกลับมาขยายตัว โดยมีสัญญาณเชิงบวกของยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ที่สูงสุดในรอบ 10 ปี แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายภาคอุตสาหกรรมอาจเป็นข้อจำกัดต่อการฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม แรงส่งทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มแผ่วลงในปีนี้ ได้แก่ (i) การส่งออกที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 2.7% จาก 5.8%  ในปี 2567 แรงกดดันจากมาตรการกีดกันทางการค้าและปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตของไทย และ (ii) การบริโภคภาคเอกชนที่คาดว่าจะชะลอจาก 4.4% ในปีก่อนสู่ 2.8% ในปีนี้ ซึ่งใกล้เคียงกับการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่มาตรการกระตุ้นของภาครัฐอาจให้ผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไม่สูงมากนักหากประเมินจากโครงการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 1  ในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน นอกจากนี้ การบริโภคยังอาจถูกจำกัดจากรายได้ที่แท้จริงของแรงงานที่ฟื้นตัวช้า และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

 


 

กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% แต่ชี้ว่าไม่ใช่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลง คาดมีแนวโน้มคงไว้ที่ 2.0% ในช่วงที่เหลือของปี การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ มีมติ 6 ต่อ 1 ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 2.0% เพื่อให้ภาวะการเงินสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จากภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ รวมทั้งเพื่อรองรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก

การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของกนง.ในครั้งนี้สอดคล้องกับการคาดการณ์ของวิจัยกรุงศรี แต่นับว่าสร้างความประหลาดใจต่อตลาด โดยผลสำรวจรอยเตอร์รายงานว่าสำนักวิจัย 16 จากทั้งหมด 26 แห่ง คาดว่ากนง.จะคงดอกเบี้ยไว้ ทั้งนี้ แม้มีการปรับลดดอกเบี้ย แต่แถลงการณ์ของกนง.ไม่ได้ส่งสัญญาณถึงการเข้าสู่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลง จากเหตุผลดังนี้ (i) กนง. ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงสู่ 2% เป็นระดับที่สอดคล้องกับการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจล่าสุดซึ่งธปท.คาดว่าอัตราการเติบโตของ GDP จะสูงกว่าปีก่อนเพียงเล็กน้อย ขณะเดียวกันกนง.ยังประเมินว่าดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดสามารถรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม (ii) ปัจจุบันไม่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะเงินฝืด และการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางยังคงอยู่ภายในกรอบเป้าหมาย และ (iii) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่เครื่องมือหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ด้วยปัจจัยต่างๆ ดังกล่าววิจัยกรุงศรีจึงคาดว่ากนง. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.0% ตลอดในช่วงที่เหลือของปีนี้


 

Tag:
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา