บทวิเคราะห์เศรษฐกิจประจำสัปดาห์

เศรษฐกิจมหภาค

ภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำสัปดาห์

21 มกราคม 2568

โลกเผชิญความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย ขณะที่ IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ส่วนเศรษฐกิจจีนปี 2567 เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 5%

 

สหรัฐ

 

แม้ว่านโยบายทรัมป์อาจช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจระยะสั้น แต่เพิ่มความเสี่ยงต่อการชะลอตัวในระยะถัดไป ในเดือนธันวาคม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นจาก 2.7% ในเดือนพฤศจิกายนสู่ระดับ 2.9% YoY ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอลงเพียงเล็กน้อยจาก 3.3% สู่ระดับ 3.2% ในส่วนของดัชนีภาคการผลิตจากธนาคารกลางรัฐฟิลาเดลเฟียในเดือนมกราคม เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 นอกจากนี้ ในปี 2568 IMF คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะมีการขยายตัว 2.7% (จากคาดการณ์เดิมที่ 2.2%) ชะลอลงจากปีก่อนหน้าที่ 2.8%

เศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดได้แรงหนุนจากนโยบายทรัมป์ในระยะสั้น อาทิ การปรับลดภาษีภาคธุรกิจ การลดกฎเกณฑ์ทางธุรกิจ รวมถึงให้การสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างไรก็ตาม นโยบายเนรเทศกลุ่มผู้อพยพผิดกฎหมายและการปรับขึ้นภาษีศุลกากรต่อประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะจีนอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะถัดไป ประกอบกับแรงกดดันของเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิตและต้นทุนแรงงาน ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ยังคงสูง อาทิ (i) ยอดการรีไฟแนนซ์หนี้ของภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น (ii) ยอดการยื่นล้มละลายในปี 2567 มากที่สุดในรอบ 14 ปี และ (iii) อัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ จากความเสี่ยงขาลงของเศรษฐกิจที่อาจเพิ่มขึ้น วิจัยกรุงศรีประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะปรับลดลงอีก 0.75% สู่ระดับ 3.50-3.75% ณ สิ้นปี 2568 สอดคล้องกับความเสี่ยงขาลงที่เพิ่มขึ้น
 


 

ญี่ปุ่น

 

ภาคบริการและมาตรการภาครัฐช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ขณะที่การเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อและค่าจ้าง คาดปูทางสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ย ในปี 2567 ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติขึ้นเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 36.87 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 47.1% YoY ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในกรุงโตเกียว (Tokyo CPI) ในเดือนธันวาคมอยู่ที่ 3% YoY สูงสุดในรอบ 14 เดือน ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในกรุงโตเกียว (Tokyo Core CPI) อยู่ที่ 2.4% สูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 ด้าน IMF คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2568 จะขยายตัว 1.1% จากปี 2567 ที่หดตัวลง -0.2%

การฟื้นตัวยังเปราะบาง เนื่องจากภาคการผลิตและส่งออกซบเซาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า การแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่รุนแรงขึ้น และความเสี่ยงสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม ภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงมีความต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่ปรับดีขึ้นและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเมื่อพิจารณาร่วมกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 39 ล้านล้านเยน ที่มุ่งลดค่าครองชีพและกระตุ้นการลงทุน รวมถึงค่าจ้างแรงงานที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น คาดว่าจะส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีมองว่าความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 23-24 มกราคมนี้สูงขึ้น ทั้งนี้ การเปิดเผยรายละเอียดของนโยบายทรัมป์ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของ BOJ ได้ในระยะถัดไป



 

จีน
 

เศรษฐกิจจีนปี 2567 เติบโตได้ตามเป้าหมายของรัฐบาล โดยได้แรงหนุนหลักจากมาตรการกระตุ้นและการส่งออก เศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ขยายตัวถึง 5.4% YoY จาก 4.6% ในไตรมาสที่ 3 โดยรวมทั้งปี เศรษฐกิจจีนจึงเติบโตได้ตามเป้าหมายของรัฐบาลที่ 5% ขณะที่การหดตัวของราคาบ้านใหม่และบ้านมือสองเฉลี่ยใน 70 เมืองหดตัวเริ่มชะลอลงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 อย่างไรก็ตาม การบริโภคโดยรวมยังคงอ่อนแอ โดยขยายตัวเพียง 3.7% YoY ในเดือนธันวาคมจาก 3% เดือนพฤศจิกายน เช่นเดียวกับการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรทั้งปี 2567 ซึ่งขยายตัวเพียง 3.2%

แม้ว่าการส่งออกในระยะที่ผ่านมายังขยายตัวสูง (+10.7% ในเดือนธันวาคม) แต่สงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นน่าจะทำให้ผลบวกจากการส่งออกอ่อนแรงลง ดังนั้น ในปีนี้รัฐบาลจึงน่าจะเร่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก ผ่านมาตรการกระตุ้นแบบเฉพาะเจาะจงที่ขยายไปหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยเฉพาะมาตรการอุดหนุนการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนใหม่ ประกอบกับการผ่อนคลายนโยบายการเงิน วิจัยกรุงศรีคาดว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้การบริโภคและการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากสงครามการค้าและปัญหาเชิงโครงสร้างอาจทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอลงจาก 5% ในปี 2567 เป็น 4.8% ในปี 2568

 


 

การลงทุนมีสัญญาณเชิงบวกจากยอดขอรับส่งเสริมฯจาก BOI แต่ยังเผชิญความท้าทาย ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคแม้ปรับดีขึ้นแต่ยังต้องติดตามความต่อเนื่องหลังหมดมาตรการกระตุ้น

.
มูลค่ายอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปี 2567 สูงสุดในรอบ 10 ปี มูลค่ากว่า 1.1 ล้านล้านบาท แต่เครื่องชี้อื่นๆ สะท้อนว่าการลงทุนในปีนี้ยังเผชิญความท้าทาย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รายงานว่าในปี 2567 ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนมีจำนวนโครงการสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 3,137 โครงการ (+40% YoY) ส่วนยอดเงินลงทุนสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2558 ที่ 1,138.5 พันล้านบาท (+35%)  กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าสูงสุด  ได้แก่ ดิจิทัล (243.3 พันล้านบาท) อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า (231.7 พันล้านบาท) ยานยนต์และชิ้นส่วน (102.4 พันล้านบาท)  เกษตรและแปรรูปอาหาร (87.6 พันล้านบาท) และปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (49.1 พันล้านบาท) สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 2,050 โครงการ (+51% YoY) เงินลงทุน 832.1 พันล้านบาท (+25% YoY) ประเทศที่มีมูลค่าลงทุนสูงสุด ได้แก่ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และญี่ปุ่น

แนวโน้มการลงทุนในระยะข้างหน้ามีสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น สะท้อนจากข้อมูลยอดขอรับส่งเสริมฯ ที่ขยายตัวดีทั้งทางด้านจำนวนและมูลค่าเงินลงทุน ประกอบกับยอดการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนซึ่งเป็นขั้นตอนใกล้เคียงกับการลงทุนจริงมีจำนวน 2,678 โครงการ (+47% YoY) มูลค่าเงินลงทุนรวม 846.5 พันล้านบาท (+72% YoY) นอกจากนี้ นโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการลงทุน อาทิ (i) ค.ร.ม.เมื่อวันที่ 13  มกราคม เห็นชอบหลักการของร่างพ.ร.บ. การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร และเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์ของวีซ่าชนิดพิเศษ (Long-Term Resident Visa หรือ LTR Visa) ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการที่ช่วยดึงดูดบุคลากรต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย และ (ii)  มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการประกาศใช้อัตราภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax) เช่น BOI มีแผนจะให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมฯ เลือกลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% ของอัตราปกติ เป็นเวลาไม่เกิน 10 ปี และสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นความท้าทายที่อาจสร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนในระยะข้างหน้า อาทิ (i) ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (BSI) เดือนธันวาคม ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 (หดตัว) ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 และดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2567 หดตัว 1.7% (ii) ปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง และ (iii) ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่เพิ่มขึน

 


 

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายระยะสั้น ขณะที่รายได้ของครัวเรือนโดยเฉลี่ยไม่เติบโต ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธันวาคมปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน ที่ 57.9 จาก 56.9 ในเดือนพฤศจิกายน ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ช่วยให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยมีการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น  ขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางมีการใช้จ่ายชะลอลง สะท้อนจากการหดตัวในหมวดการใช้จ่ายสินค้าคงทน

แม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะปรับตัวดีขึ้นแต่ยังต้องติดตามความต่อเนื่องของการฟื้นตัว เนื่องจากดัชนีฯที่นับว่ายังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด  (ปี 2562 ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 75.5) ขณะที่แรงส่งของการฟื้นตัวส่วนใหญ่เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นการใช้จ่ายในระยะสั้น แม้ในช่วงต้นปีนี้จะยังได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายเพิ่มเติมจากโครงการ Easy E-Receipt และการแจกเงิน 10,000 บาท แก่กลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกชั่วคราว ขณะเดียวกันการบริโภคยังเผชิญข้อจำกัดจากปัญหาเชิงโครงสร้างจากหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้ภาระหนี้จะมีแนวโน้มทยอยปรับลดลงภายหลังทางการออกมาตรการบรรเทาหนี้สำหรับกลุ่มเปราะบาง นอกจากนี้ จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุด (ในช่วงปี 2564-2566) ที่รวบรวมโดยวิจัยกรุงศรี พบว่าสินทรัพย์สภาพคล่องโดยรวมของแต่ละครัวเรือนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละ 8,238 บาท โดยส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากและสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ มากกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้สุทธิ อีกทั้งรายได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าและใกล้เคียงกับค่าใช้จ่าย สะท้อนถึงการบริโภคของภาคครัวเรือนที่เติบโตต่ำและอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน (คิดเป็น 67% ของครัวเรือนทั้งหมด) ประสบปัญหาค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการเติบโตของรายได้ หรืออัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้เกิน 100%


 

Tag:
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา