“บ้าน” นอกจากจะเป็นที่พักอาศัย และเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในครอบครัวแล้ว บ้านยังนับเป็นหนึ่งในการลงทุนก้อนใหญ่ในชีวิต ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากที่สุดสำหรับหลาย ๆ คน ดังนั้น การพิจารณาซื้อกรมธรรม์
ประกันภัยสำหรับบ้าน รวมถึงประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน ซึ่งเป็นประกันชีวิตที่ให้ทำเมื่อซื้อบ้าน จึงเป็นหนึ่งทางเลือกในการสร้างความคุ้มครองความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับบ้าน รวมทั้งจำกัดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวได้
โดยในปัจจุบันนี้ ประกันที่เกี่ยวกับบ้าน มีรายละเอียดเบื้องต้น ดังนี้
ประกันอัคคีภัย
ประกันอัคคีภัยเป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองความเสียหายกับบ้านอันเนื่องมาจากเหตุตามที่ระบุในกรมธรรม์ เช่น ไฟไหม้ ฟ้าผ่า หรือแก๊สรั่ว โดยที่ประกันอัคคีภัยนี้เป็นประกันที่มีอายุสั้น นั่นคือ ต้องมีการซื้อประกันรายปี หรือทุก ๆ 2-3 ปี ในส่วนของเบี้ยประกันจะแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท ซึ่งหลัก ๆ แล้วเบี้ยประกันจะขึ้นอยู่กับระยะความคุ้มครอง โดยระยะเวลาคุ้มครองที่นานกว่าจะมีเบี้ยประกันที่ต่ำกว่า หากเกิดอัคคีภัยขึ้นบริษัทประกันจะจ่ายความคุ้มครองให้กับเจ้าของบ้าน หรือธนาคารในกรณีที่บ้านติดจำนองกับธนาคาร ซึ่งปัจจุบันกฎหมายบังคับให้ทำประกันอัคคีภัยสำหรับบ้านใหม่ เช่น บ้านเดี่ยวจะมีเบี้ยประกันไม่เกิน 0.1% ของมูลค่าบ้าน
ประกันภัยพิบัติ
ประกันภัยพิบัติให้ความคุ้มครองบ้านจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม พายุ แผ่นดินไหว ตามรายละเอียดในกรมธรรม์ เช่น การให้ความคุ้มครองกรณีแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงขนาดมากกว่า 7.0 ตามมาตราริกเตอร์ หรือพายุที่มีความเร็วลมตั้งแต่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในส่วนของกรณีน้ำท่วมนั้น ประกันภัยพิบัติจะไม่ครอบคลุมกรณีที่บ้านอยู่ในพื้นที่ที่ถูกระบุไว้ว่าเป็นพื้นที่รองรับน้ำ พื้นที่กักเก็บน้ำ หรือทางน้ำผ่าน ซึ่งรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ เราต้องอ่านกรมธรรม์ให้เข้าใจก่อนตกลงทำสัญญาเสมอ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำประกันภัยพิบัติ แต่การมีประกันภัยพิบัติเอาไว้ก็ทำให้คุณอุ่นใจเรื่องบ้านในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้มากกว่า
ประกันสินเชื่อบ้าน
ประกันสินเชื่อบ้าน หรือประกันคุ้มครองหลักทรัพย์ (TMRA) เป็นประกันที่ทางธนาคารผู้ให้สินเชื่อบ้าน และที่อยู่อาศัยมักจะเรียกร้องให้ผู้กู้ทำ โดยที่ใจความสำคัญของประกันประเภทนี้ คือ การให้ความคุ้มครองในกรณีที่ผู้ที่ขอสินเชื่อเสียชีวิต หรือไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระค่าบ้านได้อีกต่อไป ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น บริษัทประกันจะเป็นผู้รับผิดชอบชำระหนี้สินในส่วนที่เหลือให้กับธนาคารผู้ออกสินเชื่อ ดังนั้น การทำประกันชีวิตประเภทนี้เมื่อซื้อบ้าน จึงเป็นการสร้างหลักประกันว่า หนี้สินในการผ่อนบ้านจะไม่ตกเป็นภาระของคนที่เหลือในครอบครัว และทำให้บ้านไม่ถูกยึดเนื่องจากขาดส่ง ดังนั้น ประกันประเภทนี้จึงมีประโยชน์มากสำหรับหัวหน้าครอบครัวที่มีรายได้น้อย และต้องรับภาระในการขอสินเชื่อเพียงคนเดียว อย่างไรก็ตามเบี้ยประกันมีมูลค่าค่อนข้างสูง โดยต้องชำระเป็นเงินก้อนเพียงครั้งเดียว ซึ่งสำหรับครอบครัวที่มีความสามารถในการชำระหนี้ทั้งหมดได้อยู่แล้ว ประกันตัวนี้ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องจำเป็นเท่าไหร่นัก
หลาย ๆ ครั้งที่ประกันตัวนี้จะถูกนำเสนอเมื่อมีการขอสินเชื่อในการกู้ซื้อบ้าน เพราะนอกจากจะเป็นการคุ้มครองครอบครัวของผู้ขอสินเชื่อแล้ว ยังเป็นการคุ้มครองธนาคารผู้ออกสินเชื่ออีกด้วย ดังนั้น ธนาคารผู้ออกสินเชื่อจึงมักจะมีข้อเสนอ เช่น การลดดอกเบี้ยการผ่อนบ้านให้หากผู้ขอสินเชื่อตัดสินใจทำประกันตัวนี้ อย่างไรก็ตาม ประกันประเภทนี้ไม่ได้ถูกบังคับด้วยกฎหมาย ดังนั้น ธนาคารผู้ให้สินเชื่อไม่มีสิทธิ์บังคับให้ผู้ขอสินเชื่อซื้อ แม้ว่าจะเป็นประกันที่ออกโดยธนาคารเองก็ตาม รวมทั้งไม่มีสิทธิ์บังคับหรือกีดกันหากผู้ขอสินเชื่อต้องการซื้อประกันประเภทนี้กับบริษัทอื่นที่เสนอเบี้ยประกันที่ดีกว่า
การดูแลรักษาทรัพย์เป็นสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการหาทรัพย์ ดังนั้น การสร้างความคุ้มครองผ่านการซื้อกรมธรรม์ประกันภัย ไม่ว่าจะเป็นประกันอัคคีภัย ประกันภัยพิบัติ หรือประกันชีวิตคุ้มครองหลักทรัพย์เมื่อซื้อบ้าน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เราจำกัดความเสียหายจากสิ่งที่ไม่คาดคิด รวมถึงช่วยลดผลกระทบที่อาจจะเกิดกับคนในครอบครัว ถึงแม้เราจะไม่สามารถควบคุมเรื่องร้าย ๆ ได้ แต่อย่างน้อยเราก็สามารถจำกัดความเสียหายได้