เมื่อพูดถึง “ดอกเบี้ยเงินกู้” ตัวแปรสำคัญในการขอสินเชื่อส่วนบุคคลหรือกู้ยืมเงินที่ไม่ควรมองข้าม เพราะแม้ว่าจะมีเงินต้นเท่ากัน แต่หากวิธี
คำนวณอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แตกต่างกัน อาจส่งผลต่อภาระหนี้ต่อเดือนที่เราต้องจ่าย ในบทความนี้ Krungsri The COACH จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจสูตรคำนวณดอกเบี้ยแบบง่าย ๆ ทั้ง วิธีคิดดอกเบี้ยแบบคงที่ และวิธีคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก เพื่อช่วยให้ทุกคนประเมินภาระการผ่อนได้แม่นยำขึ้น สามารถเลือกสินเชื่อส่วนบุคคลที่เหมาะสมกับตนเองได้มากขึ้นอีกด้วย
ดอกเบี้ยเงินกู้คืออะไร มีกี่ประเภท?
ดอกเบี้ยเงินกู้ คือ ค่าธรรมเนียมที่ผู้ให้กู้ หรือสถาบันการเงิน เรียกเก็บจากผู้กู้ หรือผู้ขอสินเชื่อ โดยจะรวมอยู่ในค่างวดที่ต้องชำระในทุก ๆ เดือนแล้ว เช่น ผ่อนชำระ 10,000 ต่องวด อาจเสียดอกเบี้ย 3,000 บาท และหักเงินต้น 7,000 บาท เป็นต้น ส่วนจะต้องเสียดอกเบี้ยเท่าไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของดอกเบี้ยเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามประเภทของสินเชื่อ ระยะเวลาการกู้ยืม และความเสี่ยงของผู้กู้
ในปัจจุบันจะใช้ดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ ดอกเบี้ยแบบคงที่ และดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ซึ่งจะมีจุดเด่น และวิธีคิดดอกเบี้ยแตกต่างกัน ดังนี้
1. ดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat Rate)
ดอกเบี้ยแบบคงที่ คือ อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดเรียกเก็บแบบตายตัว เป็นจำนวนเท่ากันทุกงวด และไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาการกู้ หรือในช่วงเวลาที่กำหนด มีข้อดีตรงที่เข้าใจง่ายกว่า ไม่ซับซ้อน เพราะผู้กู้จะรู้ก่อนขอสินเชื่อเลยว่า ต้องจ่ายแต่ละงวดเท่าไร และเสียดอกเบี้ยทั้งหมดเท่าไร แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่ไม่สามารถโปะเงินต้นเพื่อลดดอกเบี้ยได้ หากอยากปิดหนี้ จะต้องจ่ายวงเงินตามจำนวนงวดที่เหลือทั้งหมด
สูตรวิธีคิดดอกเบี้ยแบบคงที่ต่องวด
- เงินต้น x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x ระยะเวลากู้ (ปี) = ดอกเบี้ยรวม
- (เงินต้น + ดอกเบี้ยรวม) ÷ จำนวนงวดทั้งหมด = ค่างวดต่อเดือน
ตัวอย่าง :
นาย ก. กู้สินเชื่อส่วนบุคคล 200,000 บาท คิดดอกเบี้ยคงที่ โดยที่มีอัตราดอกเบี้ย 18% ต่อปี และมีระยะเวลาชำระทั้งหมด 2 ปี (24 งวด) เท่ากับว่า นาย ก. จะต้องจ่ายค่างวดในแต่ละเดือน ดังนี้
ตัวอย่างตารางการผ่อนของนาย ก. (เริ่มงวดแรกที่เดือนมกราคม)
หมายเหตุ : คำนวณให้ดูบางช่วงเวลาเท่านั้น
2. ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate)
ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก คือ ดอกเบี้ยที่คิดจากเงินต้นคงเหลือ โดยดอกเบี้ยในแต่ละงวดจะลดลงตามยอดเงินต้นที่ลดลงไปด้วย นอกจากนี้ยังมีข้อดีตรงที่สามารถโปะหนี้ให้หมดเร็ว ๆ ได้ หากบริหารจัดการหนี้ดี ๆ ก็อาจเสียดอกเบี้ยน้อยกว่าแบบแรก แต่ก็แลกมากับการที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
สูตรวิธีคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกต่องวด
- (เงินต้นคงเหลือ x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันในงวด) ÷ 365 = ดอกเบี้ยต่องวด
- ค่างวด - ดอกเบี้ยต่องวด = เงินต้นที่ชำระ
ตัวอย่าง :
นาย ข. กู้สินเชื่อส่วนบุคคล 200,000 บาท คิดดอกเบี้ยลดต้นลดดอก โดยที่มีอัตราดอกเบี้ย 18% ต่อปี มีระยะเวลาการชำระทั้งหมด 2 ปี (24 งวด) และชำระค่างวดเดือนละ 11,333.33 บาท เท่ากับว่า นาย ข. จะต้องจ่ายค่างวดในแต่ละเดือน ดังนี้
การคำนวณงวดที่ 1 เดือนมกราคม
การคำนวณงวดที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์
การคำนวณงวดที่ 3 เดือนมีนาคม
ตัวอย่างตารางการผ่อนของนาย ข. (เริ่มงวดแรกที่เดือนมกราคม)
หมายเหตุ : คำนวณดอกเบี้ยให้ดูบางช่วงเวลาเท่านั้น
ขอสินเชื่อส่วนบุคคลใช้ดอกเบี้ยคงที่ VS ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก แบบไหนดีกว่ากัน?
จากตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยลดต้นลดดอกทั้ง 3 งวด ของ นาย ข. จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า ดอกเบี้ยที่เสียไปในแต่ละงวดมีจำนวนลดลงไปตามเงินต้นอย่างเห็นได้ชัด และ
ดอกเบี้ยตั้งแต่งวดที่ 2 เป็นต้นไป เสียดอกเบี้ยต่องวดน้อยกว่า นาย ก. อีกด้วย
ดังนั้น ดอกเบี้ยคงที่กับดอกเบี้ยลดต้นลดดอกแบบไหนดีกว่ากัน? คำตอบคือ
“ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก” เพราะดอกเบี้ยจะลดลงตามยอดหนี้ที่ลดลง ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ทว่าเรายังสามารถโปะหนี้เพื่อลดภาระดอกเบี้ยได้ ทำให้โดยรวมจ่ายดอกเบี้ยน้อยกว่าดอกเบี้ยแบบคงที่ และ
ปิดหนี้ได้ไวขึ้นกว่าเดิม
จึงสรุปได้ว่า ดอกเบี้ยแบบคงที่ เหมาะกับสายชิล ไม่ต้องคิดเยอะ จ่ายเท่ากันทุกงวด ส่วนดอกเบี้ยลดต้นลดดอก จะเหมาะกับคนอยากปิดหนี้ไว สามารถโปะเงินเพื่อหักเงินต้นได้ไวขึ้นนั่นเอง!
Krungsri The COACH แนะนำ : สินเชื่อส่วนบุคคล Krungsri iFIN เงินก้อนฉุกเฉิน ที่ตอบโจทย์ทุกปัญหาทางการเงิน
สำหรับใครที่กำลังมองหาแหล่งเงินทุนหมุนเวียนมาช่วยแก้ไขปัญหาการเงิน เพิ่มสภาพคล่อง เพื่อให้สามารถวางแผนใช้เงินได้โดยไม่มีสะดุด ธนาคารกรุงศรีก็มีตัวช่วยที่น่าสนใจอย่าง
สินเชื่อส่วนบุคคล Krungsri iFIN ที่จะช่วยจบทุกความต้องการทางการเงิน พร้อมจุดเด่นที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการเงินก้อนฉุกเฉิน ดังต่อไปนี้
- เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลที่ใช้ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก : ช่วยให้คุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากกว่า พร้อมความยืดหยุ่นในการใช้วงเงิน และการชำระคืน
- ยื่นกู้เงินสดได้ง่าย โดยไม่ต้องมีคนค้ำ : เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวงเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน หรือต้องการบริหารค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เลือกผ่อนจ่ายสบาย ๆ : เลือกจำนวนงวดผ่อนชำระทั้งหมดได้ตั้งแต่ 16 - 60 เดือน
*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว l อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกปกติ 21% - 25% ต่อปี*
*ศึกษารายละเอียด เงื่อนไข และอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพิ่มเติมที่ www.krungsri.com
สรุปแล้ว การเข้าใจวิธีคิดดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งสองแบบจะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกสินเชื่อได้อย่างชาญฉลาด เพราะคุณสามารถนำไปใช้เป็นวิธีคิดดอกเบี้ยต่อปีที่ตนเองต้องจ่ายได้เลย ทำให้รู้ว่าต้องจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมดเท่าไร? คุ้มค่าหรือไม่? เพื่อที่จะได้เลือกสินเชื่อที่ใช้ดอกเบี้ยเหมาะสมกับความต้องการ และความสามารถในการชำระเงิน พร้อมทั้งวางแผนการผ่อนชำระได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
อ้างอิง