กู้สินเชื่อธุรกิจ SME เพื่อขยายธุรกิจอย่างไรให้ผ่านฉลุย

  ปัจจุบันการขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME มีทั้งแบบสินเชื่อมีหลักประกัน และสินเชื่อไม่มีหลักประกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ประกอบการมากขึ้น
 

1. สินเชื่อ SME แบบมีหลักทรัพย์

การขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME แบบนี้จะต้องมีทรัพย์สินมาวางค้ำประกัน สามารถเป็นได้ทั้งเงินฝาก (เงินฝากประจำ และออมทรัพย์), พันธบัตรรัฐบาล และอสังหาริมทรัพย์ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เช่น โรงงาน สำนักงาน ที่พักอาศัย เป็นต้น เมื่อมีหลักทรัพย์มาค้ำประกัน จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถกู้ได้วงเงินที่สูงขึ้น มีระยะเวลาชำระหนี้นานขึ้น และยังได้ดอกเบี้ยถูกกว่าสินเชื่อเพื่อธุรกิจที่ไม่มีหลักทรัพย์

2. สินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์

สินเชื่อเพื่อธุรกิจแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นดำเนินธุรกิจมาไม่กี่ปี แล้วต้องการเงินก้อนไว้หมุนเวียนในธุรกิจระยะสั้น โดยส่วนใหญ่ผู้ประกอบการที่ขอสินเชื่อธุรกิจแบบนี้มักจะได้วงเงินกู้ และระยะเวลาผ่อนชำระน้อยกว่าสินเชื่อเพื่อธุรกิจแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
หลังจากที่เราตัดสินใจได้แล้วว่าอยากจะขอสินเชื่อ SME วงเงินเท่าไหร่ ระยะเวลากี่ปี รวมถึงประเมินความสามารถในการผ่อนชำระของตัวเองแล้ว เรื่องถัดมาก็จะต้องเตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อมเพื่อไปยื่นขอสินเชื่อ SME เพราะเอกสารเหล่านี้ก็มีผลกับการอนุมัติผ่านด้วยเช่นกัน โดยส่วนใหญ่เอกสารที่ต้องใช้ในการสมัครของแต่ละธนาคารก็จะคล้าย ๆ กัน เช่น สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, เอกสารแสดงรายได้ (Bank Statement) 6 เดือนย้อนหลัง, สำเนางบการเงินย้อนหลัง 3 ปี, รายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจของเรา เป็นต้น

ทั้งนี้แต่ละธนาคารก็อาจมีขอเอกสารเพิ่มเติม นอกเหนือจากที่ได้บอกไว้ข้างต้นอีกเล็กน้อย เราสามารถสอบถามกับเจ้าหน้าที่ธนาคารก่อนไปยื่นขอสินเชื่อได้เลย ถ้าเราเตรียมเอกสารให้พร้อมแบบครบถ้วนก็จะทำให้ขั้นตอนอนุมัติรวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย หลายคนที่เคยยื่นขอสินเชื่อเอง หรือได้ฟังประสบการณ์จากคนรอบตัวคงคิดว่า การขอสินเชื่อให้อนุมัติผ่านนั่นก็ค่อนข้างยาก แต่ความจริงแล้วถ้าเราวางแผน และเตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้เรียบร้อยสมบูรณ์ก็อนุมัติผ่านได้ไม่ยากแน่นอน แต่สำหรับคนที่ยังกังวลใจอยู่ เราเลยได้รวบรวมเทคนิคกู้ สินเชื่อ SME ให้ผ่านฉลุยมาฝาก
  ถ้าผู้ประกอบการมีหลักทรัพย์มาค้ำประกันเงินกู้ก็มีโอกาสอนุมัติผ่านฉลุยแบบง่าย ๆ เลย เพราะเมื่อเรามีหลักทรัพย์มาค้ำประกันจะเป็นการช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และทางธนาคารก็จะมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อให้กับเรามากยิ่งขึ้น โดยทรัพย์สินที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันมีหลากหลาย เช่น เงินสด พันธบัตรรัฐบาล อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น หากในอนาคตเราขาดการผ่อนชำระเป็นเวลานาน ๆ ทางธนาคารก็จะนำทรัพย์สินที่เราเอามาค้ำประกันไปขายทอดตลาดเพื่อชดเชยเงินของเรานั่นเอง

1. ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน (มีเผื่อไป อุ่นใจกว่า)

หากสินทรัพย์ที่เรานำไปค้ำประกันในการขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจ ไม่มีภาระการผ่อนส่งแล้ว หรือเป็นสินทรัพย์ที่มีชื่อเรา ก็จะยิ่งทำให้ได้เปรียบในการขอสินเชื่อ และก่อนจะไปขอสินเชื่อ แนะนำให้เตรียมหลักทรัพย์ค้ำประกันไปให้พร้อม ถ้าหากไม่เตรียมไปให้พร้อมอย่างครบถ้วนก็มีโอกาสที่อาจถูกปฏิเสธสินเชื่อได้

2. แยกบัญชีส่วนตัว บัญชีธุรกิจ เพิ่มความน่าเชื่อถือ

เราควรแยกบัญชีบริษัทกับบัญชีส่วนตัวออกจากกันอย่างชัดเจน และรายการเดินบัญชีต้องครบถ้วน โปร่งใส ตรวจสอบได้ แม้กิจการจะมีขนาดเล็กแต่ก็ควรจะแยกบัญชีออกจากกัน และใช้บัญชีบริษัทรับจ่ายในบัญชีนี้เท่านั้น ไม่ควรใช้ปนกัน เพราะจะทำให้บัญชีบริษัทโล่ง หรือมีรายการเข้าออกน้อยครั้ง ก็อาจจะเสี่ยงทำให้ขอสินเชื่อไม่ผ่านได้เช่นกัน

ดังนั้น การที่เห็นรายได้เข้ามาและรายจ่ายออกไป จะเป็นสิ่งยืนยันว่าเราทำธุรกิจจริง มีลูกค้า และมีเงินหมุนเวียนในกิจการสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรทำรายการเดินบัญชีบริษัทอย่างละเอียด มีที่มาที่ไปของทุกรายการทางการเงิน มีการจัดเก็บหลักฐานเพื่อให้ตรวจสอบได้
 

3. รักษาเครดิตทางการเงินของตัวเองให้เต็มร้อยเสมอ

จัดการรายการที่ผ่อนอยู่ให้เหลือน้อยที่สุดก่อนยื่นขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจ เชื่อว่าทุกคนคงจะเคยได้ยินคำว่า เครดิตบูโร กันมาบ้างแล้ว ซึ่งเป็นสถาบันที่ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลบัญชีสินเชื่อ และประวัติการชำระสินเชื่อของทุกคนทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล โดยจะแสดงประวัติสินเชื่อย้อนหลัง 3 ปี โดยข้อมูลที่จัดเก็บไว้ เช่น ตอนนี้เรามีสินเชื่ออยู่ทั้งหมดกี่บัญชี ประเภทและเลขที่บัญชีของสินเชื่อ สถานะของบัญชี รายละเอียดการชำระหนี้ ประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมา เป็นต้น ดังนั้นก่อนที่ทางธนาคารจะอนุมัติสินเชื่อให้ก็มักจะไปตรวจสอบประวัติของเราก่อนนั่นเอง หากเรามีประวัติการชำระที่ดี จ่ายตรงเวลา ก็ช่วยให้มีโอกาสที่ธนาคารอนุมัติสินเชื่อผ่านง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้ธนาคารก็จะดูข้อมูลอื่น ๆ ประกอบการพิจารณาด้วย

มาทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง เครดิตบูโร และการถูกแบล็กลิสต์กัน คลิก

4. เตรียมข้อมูลธุรกิจของตัวเองให้พร้อมก่อนไปยื่นขอสินเชื่อ SME

นอกจากข้อมูลทางการเงินที่เราต้องเตรียมไปยื่นขอสินเชื่อ SME แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ข้อมูลธุรกิจ เช่น ลักษณะธุรกิจของเรา กลุ่มลูกค้า รายรับ-รายจ่าย งบการเงินของธุรกิจ แผนธุรกิจในอนาคต เป็นต้น นอกจากนี้ หากเรามีทำสัญญากับคู่ค้าก็ควรจะเก็บเอกสารสัญญาการค้าเหล่านั้นเป็นหลักฐานเผื่อไว้ด้วย เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจ และยืนยันอีกครั้งว่าเราทำธุรกิจนี้จริง มีการค้าจริงหรือไม่ และเป็นธุรกิจที่ใสสะอาด ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ก็จะได้รับการอนุมัติสินเชื่อ SME ได้ง่ายขึ้น

สำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วกำลังมองหาสินเชื่อ SME ทางธนาคารกรุงศรีฯ มีสินเชื่อธุรกิจ Quick Loan สินเชื่อธุรกิจ SME ตอบทุกโจทย์ของคนทำธุรกิจ มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกตามความต้องการ วงเงินสูง 2 แสน - 15 ล้านบาท ผ่อนสบาย ๆ สูงสุดถึง 12 ปี ใช้หลักประกันสินเชื่อได้หลายรูปแบบ ศึกษารายละเอียด และเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ตรงนี้เลย หรือจะโทรปรึกษากับเจ้าหน้าที่ก่อนก็ได้เช่นกัน โทร. 0-2296-6262 หรือสายด่วนโทร. 1572

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าเราจะยื่นขอสินเชื่อประเภทไหนก็ตาม หากเรามีการวางแผน และเตรียมเอกสารพร้อมก่อนล่วงหน้า ทั้งเอกสารด้านตัวเลขข้อมูลของธุรกิจ ก็มีโอกาสที่จะขอสินเชื่อ SME ผ่านได้ง่ายมากขึ้น เพราะถ้าหากเราไปยื่นขอสินเชื่อแล้วเอกสารไม่ครบก็อาจทำให้ต้องใช้เวลาในการกลับมาแก้ไขเอกสาร และรออนุมัตินานขึ้น ทำให้ครบจบทีเดียว รับรองสบายใจชัวร์