ถ้าหากพูดข่าวการลงทุนที่ได้รับความสนใจและเป็นที่พูดถึงมากที่สุดเลยก็คือ "คริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency)" ซึ่งถ้าหากพูดถึงคริปโตฯ เหรียญที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีอายุนานที่สุดเรียกว่าเป็นเหรียญรุ่นบุกเบิกเลยก็คือ "
บิทคอยน์ (BTC)"
"บิทคอยน์ (BTC)" ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 2009 และกำหนดให้มีเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น โดยถูกสร้างขึ้นครั้งแรกโดยนายซาโตชิ นากาโมโตะ จุดประสงค์ในการสร้างขึ้นเพื่อต้องการสร้าง "สกุลเงิน" สำหรับการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้โดยไม่ผ่านตัวกลาง และสามารถทำธุรกรรม
โอนเงินข้ามประเทศได้โดยไม่ต้องรอ 3 - 5 วัน และที่สำคัญคือการลดค่าธรรมเนียมที่ถือว่าถูกกว่าการโอนแบบผ่านตัวกลางอย่างมาก
ซึ่งเทคโนโลยีเบื้องหลังการทำงานของบิทคอยน์ ก็คือ "
บล็อกเชน (Blockchain)" ที่มีไว้สำหรับการบันทึกธุรกรรม ซึ่งบล็อกเชนได้รับการยอมรับความเป็นเทคโนโลยีที่มีความน่าเชื่อถือและโปร่งใสมากที่สุด เนื่องจากไม่มีใครเป็นเจ้าของระบบทุกคนเป็นเจ้าของรวมกัน ข้อมูลในการทำธุรกรรมต่างถูกบันทึกลงในเครื่องของทุกคนในเครือข่าย
ในกรณีที่ "แฮกเกอร์ (Hacker)" ต้องการโจมตีเพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูล จำเป็นต้องโจมตีอย่างน้อย 51% ของจำนวนเครือข่ายทั้งหมดถึงสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ ซึ่งความปลอดภัยนี้ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมา บิทคอยน์ยังไม่เคยถูกโจมตีหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ซึ่งปริมาณของ "บิทคอยน์ (BTC)" ถ้าถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนเลยว่าจะมีปริมาณเหรียญทั้งหมด 21 ล้านเหรียญเท่านั้น โดยเหรียญจะค่อย ๆ ทยอยออกมาจากที่เรามักจะเรียกติดปากกันว่า "การขุด (Proof of Work)" หรือการเป็นรางวัลสำหรับคนที่เข้ามาช่วยยืนยันและบันทึกในการทำธุรกรรม ณ ปัจจุบัน (ปี 2021) มีบิทคอยน์ถูกขุดออกมาแล้วประมาณ 18 ล้านเหรียญซึ่งคาดการณ์ว่าน่าจะถูกขุดครบ 21 ล้านเหรียญในปี 2140
"บิทคอยน์ (BTC)" ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีมากกว่า 1,335%
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ "บิทคอยน์ (BTC)" เป็นที่พูดถึงอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมาก็เนื่องจากผลตอบแทนที่ทำได้อย่างน่าสนใจในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาบิทคอยน์ ให้ผลตอบแทนเท่ากับ 189% ปี แต่ถ้าหากมองย้อนหลัง 3 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนมากกว่า 1,335% หรือ 13.35 เท่าเลยทีเดียวซึ่งถือว่าถ้าเทียบกับ
ผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงสูงอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ที่เคยเป็นสินทรัพย์การลงทุนอันดับต้น ๆ ในใจของนักลงทุน
คำถามที่น่าสนใจก็คือ ณ เวลานี้ "บิทคอยน์ (BTC)" ยังสามารถลงทุนได้อยู่หรือไม่
ซึ่งก่อนจะตอบคำถามนี้ต้องบอกว่า "บิทคอยน์ (BTC)" เป็นสินทรัพย์มีความพิเศษที่สำหรับคนที่ชื่นชอบและเชื่อจะมองเห็นภาพว่าราคาของ "บิทคอยน์ (BTC)" ยังสามารถไปได้อีกไกลมาก ๆ เนื่องจากหลากหลายเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นในช่วงปี 2021 มีการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ว่ากองทุนระดับโลกของ Grayscale หรือนักลงทุนสถาบันที่ถือ BTC มากที่สุดอย่าง MicroStrategy ก็มีการเก็บ BTC เข้าพอร์ตเพิ่มทุกครั้งที่มีการปรับตัวของราคา BTC ลงมา
นอกจากนี้ยังมีการประกาศใช้ BTC เป็นสกุลเงินหลักของประเทศเอลซัลวาดอร์ (República de El Salvador) ด้วยที่ก็มีการทยอยซื้อ BTC เข้าเป็นทุนสำรองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงก็ยังมีข่าวจากสถาบันยักษ์ใหญ่เริ่มเข้าศึกษาตลาดคริปโตฯ มากขึ้นไม่เฉพาะแค่ BTC เท่านั้นด้วย
ณ ปัจจุบันต้องบอกว่าปัญหาที่ BTC ช่วยแก้ไขไม่ได้เฉพาะเรื่องความรวดเร็วในการโอนเงินและค่าธรรมเนียมที่ถูกเท่านั้น แต่ BTC ยังถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์สามารถต่อสู้กับ "
เงินเฟ้อ" ได้ดี ยิ่งมีเงินเฟ้อสูงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นด้วยผลักดันให้ BTC ราคาพุ่งสูงขึ้นได้มากเท่านั้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ภาวะเงินเฟ้อที่ดีดสูงขึ้นทั่วโลกในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาทำให้ราคา BTC เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นผลกระทบมาจากการพิมพ์เงินเพื่ออัดฉีดให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ด้วยปริมาณเงินที่ถูกอัดเข้ามาในระบบมีปริมาณที่สูงมากที่สุดตั้งแต่โลกเรารู้จักนโยบายที่เรียกว่า QE มาเลยก็ว่าได้ แต่ด้วย BTC มีจำนวนที่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้นและไม่สามารถเสกเพิ่มขึ้นได้อีก จึงถือว่าภาวะนี้เป็นปัจจัยบวกอย่างมากต่อราคาของ BTC นั่นเอง
ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็น "บิทคอยน์ (BTC)" หรือ "คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency)" เหรียญอื่น ๆ ก็เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงที่สูงมาก เพราะมีความผันผวนที่สูงมากกว่าสินทรัพย์การลงทุนอื่น ๆ ถ้าหากย้อนดูในช่วงที่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีปรับฐานนั้นสามารถปรับตัวลงได้มากกว่า 60-70% ในช่วงที่ผ่านมา
ดังนั้นก่อนการลงทุนทุกครั้ง ต้องอย่าลืมศึกษาข้อมูล และเข้าใจถึงความเสี่ยงก่อนเสมอ