บทสรุปผู้บริหาร
สงครามการค้ารอบ 2 ได้เริ่มต้นขึ้นหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสมัยที่ 2 ได้ใช้คำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Order) เปิดฉากเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนอย่างเป็นทางการ ขณะที่รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ กลับเช่นกัน ทั้งมาตรการภาษี และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ได้สร้างความกังวลต่อภาวะทางเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม
วิจัยกรุงศรีจึงจัดทำบทวิเคราะห์นี้ขึ้นเพื่อประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้นจริงครั้งนี้ โดยใช้แบบจำลอง GTAP จำแนกเป็น 2 ฉากทัศน์ โดยฉากทัศน์แรก สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10% และจีนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ 10-15% (เกิดขึ้นและเริ่มการตอบโต้แล้ว) และฉากทัศน์ที่สอง สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทุกประเภทในอัตรา 10% เม็กซิโก 25% และแคนาดา 25% ส่วนจีนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ 10-15% (มีโอกาสเกิดขึ้น แต่อยู่ระหว่างการชะลอการขึ้นภาษีกับแคนาดาและเม็กซิโกชั่วคราวอย่างน้อย 30 วัน นับจากวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568) ซึ่งผลการวิเคราะห์พบว่า การขึ้นภาษีนำเข้าในทุกกรณีล้วนส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลก ส่วนไทยมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากการส่งออกและการย้ายฐานการผลิต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง ขณะที่ผลกระทบเชิงลบได้สร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เคมี สิ่งทอ และผลิตภัณฑ์โลหะ และเมื่อพิจารณาถึงความเสียหายต่อภาคอุตสาหกรรมของไทย พบว่า ผลกระทบเชิงลบเกิดจากการส่งผ่านห่วงโซ่อุปทานของกลุ่มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์พื้นฐาน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และไฟฟ้า เป็นสำคัญ
บทนำ
สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอย่างเป็นทางการ โดยมีผลบังคับใช้ ณ วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ขณะที่รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ กลับ ทั้งมาตรการภาษี 10-15% และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป
เนื่องจากทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างเป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่อันดับ 1 และ 2 ของโลก ผลกระทบที่เกิดขึ้นย่อมแผ่ขยายเป็นวงกว้างตามความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานโลก ไม่ว่าจะผ่านผลกระทบทางอ้อมของการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน การย้ายฐานการผลิตจากจีน การส่งออกเพื่อทดแทนนำเข้าสินค้าจากจีนและสหรัฐฯ ดังนั้น เพื่อหาคำตอบว่าภาคอุตสาหกรรมและบริการของไทยภาคส่วนใดบ้างที่มีแนวโน้มได้หรือเสียประโยชน์จากสงครามการค้าครั้งนี้ วิจัยกรุงศรีจึงประยุกต์ใช้แบบจำลอง GTAP (Aguiar et al., 2019) เพื่อประเมินผลกระทบของนโยบายดังกล่าวต่อเศรษฐกิจไทยผ่านเครื่องชี้ที่สำคัญ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) การส่งออก และการลงทุน ทั้งผลกระทบในภาพรวมและรายอุตสาหกรรม ผ่านฉากทัศน์ (Scenario) 2 กรณี ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและมีโอกาสสูงที่จะเกิดขึ้น ได้แก่
-
ฉากทัศน์แรก สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10% และจีนตอบโต้กลับโดยขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ 10-15% ซึ่งฉากทัศน์นี้เกิดขึ้นจริงแล้ว และ
-
ฉากทัศน์ที่สอง สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทุกประเภทในอัตรา 10% จากเม็กซิโกในอัตรา 25% และจากแคนาดาในอัตรา 25% ส่วนจีนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ 10-15% ซึ่งสอดคล้องกับการประกาศใช้คำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Order) ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ และการประกาศตอบโต้กับจีน ฉากทัศน์นี้จึงมีโอกาสเกิดขึ้นสูง แต่ปัจจุบัน สหรัฐฯ อยู่ระหว่างการชะลอการขึ้นภาษีกับแคนาดาและเม็กซิโกชั่วคราวอย่างน้อย 30 วัน นับจากวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568
ผลกระทบสงครามการค้าของรัฐบาลทรัมป์สมัยที่สอง ในรอบแรก (Trade War 2.0: Round 1)
วิจัยกรุงศรีได้ประเมินผลกระทบจากกรณีสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้า ด้วยการศึกษาความเชื่อมโยงของอุตสาหกรรมไทยและห่วงโซ่มูลค่าโลกผ่านแบบจำลอง GTAP ซึ่งสามารถสรุปผลการวิเคราะห์ในแง่มุมของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมโดยสังเขปได้ ดังนี้
I. สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10% และจีนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ 10-15%
การที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทุกประเภทสินค้า 10% ตั้งแต่วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 และจีนโต้ตอบกลับโดยขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ 15% ในสินค้าประเภทถ่านหินและก๊าซแอลเอ็นจี และภาษี 10% ในสินค้ากลุ่มน้ำมันดิบ เครื่องจักรการเกษตร และยานยนต์บางประเภท ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไปนั้น วิจัยกรุงศรีพบว่าในภาพรวม (ภาพที่ 1) จะส่งผลให้ GDP และการส่งออกของโลกโดยรวมลดลงจากกรณีฐาน -0.05% และ -0.4% ตามลำดับ เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ผลิตภาพ (Productivity) ลดลง และอุปสงค์ในประเทศเศรษฐกิจหลักที่ลดลง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และจีน ทั้งนี้ การส่งออกของสหรัฐฯ อาจลดลงจากกรณีฐานถึง -2.2% ซึ่งรุนแรงกว่าผลกระทบต่อการส่งออกของจีนที่ -1.4% อย่างไรก็ตาม ต้นทุนของธุรกิจในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ยิ่งส่งผลลบย้อนกลับมาสู่การลงทุนในสหรัฐฯ ที่หดตัวกว่า -1.0% มากกว่าจีนที่ -0.7% เนื่องจากสหรัฐฯ ยังต้องพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบจากจีนในหลายอุตสาหกรรม


เมื่อพิจารณารายอุตสาหกรรม พบว่าภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบสูงสุด คืออุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วน ที่หดตัว -0.9% จากกรณีฐาน ในทางกลับกัน อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องหนังของสหรัฐฯ จะได้รับผลบวกจากสงครามการค้าในฉากทัศน์นี้ โดยจะขยายตัวได้มากขึ้นถึง 6.6% จากกรณีฐาน ขณะที่ผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมของจีนจะเกิดขึ้นสูงสุดในอุตสาหกรรมการผลิต โดยหดตัวถึง -1.5% จากกรณีฐาน ขณะที่อุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์สูงสุดเป็นกลุ่มขนสัตว์ และรังไหมที่ขยายตัว 1.1% จากกรณีฐาน (ภาพที่ 2)

เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาผลกระทบต่อไทย ในฉากทัศน์แรกนี้ไทยยังคงได้ประโยชน์สุทธิ เนื่องจากสามารถส่งออกเพื่อทดแทนการนำเข้าสินค้าของประเทศคู่ขัดแย้ง ทั้งจากจีนและสหรัฐฯ ได้มากขึ้น รวมถึงได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนและสหรัฐฯ ทำให้การส่งออกและการลงทุนของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากกรณีฐาน 0.3% และ 0.3% ตามลำดับ (ภาพที่ 1) ส่งผลให้มูลค่าเพิ่มของภาคอุตสาหกรรมไทยบางกลุ่มขยายตัวได้ (ภาพที่ 3) อาทิ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (+2.7%) ภาคก่อสร้าง (+1.0%) ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง (+0.4%)
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการขึ้นภาษีได้ส่งผ่านมายังต้นทุนของห่วงโซ่อุปทานโลกที่สูงขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมของไทยในบางหมวดที่พึ่งพิงส่วนประกอบหรืออ้างอิงราคาต้นทุนจากตลาดโลกมีมูลค่าลดลง อาทิ อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ (-1.3%) อุตสาหกรรมสิ่งทอ (-1.2%) ผลิตภัณฑ์โลหะ (-0.9%) ด้วยผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบ ทำให้ผลกระทบสุทธิต่อ GDP ไทยโดยรวมมีค่าเป็นบวกในระดับจำกัด เพียง 0.02% จากกรณีฐาน

เมื่อพิจารณาภาคเกษตรของไทย พบว่าในฉากทัศน์นี้ภาคเกษตรได้รับผลกระทบเชิงลบในทุกหมวดอุตสาหกรรม (ภาพที่ 4) โดยอุตสาหกรรมที่ได้ผลกระทบเชิงลบสูงสุดคือหมวดขนสัตว์และรังไหม โดยหดตัว -0.5% จากกรณีฐาน รองลงมาเป็นหมวดป่าไม้ (-0.4%) การปลูกอ้อย (-0.4%) เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ (-0.2%) และผักและผลไม้ (-0.2%)

สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทย เมื่อพิจารณารายละเอียดของผลกระทบรายหมวดพบว่า อุตสาหกรรมที่ได้อานิสงส์มากที่สุดคือ อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้ผลบวกรวม 2.7% จากกรณีฐาน รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง (+0.4%) ผลิตภัณฑ์จากแร่ (+0.2%) ตรงกันข้าม อุตสาหกรรมที่ได้รับผลลบจากการขึ้นภาษีมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์หดตัว -1.3% รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมสิ่งทอ (-1.2%) ผลิตภัณฑ์เหล็ก (-0.9%) โลหะเหล็ก (-0.8%) ยางและพลาสติก (-0.8%) (ภาพที่ 5)

สำหรับภาคบริการของไทย (ภาพที่ 6) หมวดที่ได้อานิสงส์มากที่สุดคือการก่อสร้าง ซึ่งขยายตัว 1.0% จากกรณีฐาน โดยคาดว่าเป็นผลจากการย้ายฐานการผลิตมาไทย ทำให้ภาคก่อสร้างมีแนวโน้มขยายตัว รองลงมาเป็นภาคค้าส่งค้าปลีก (+0.2%) ที่อยู่อาศัย และการเช่า (+0.1%) การแพทย์ (+0.1%) ส่วนภาคบริการที่หดตัว ได้แก่ บริการทางด้านธุรกิจ (-0.4%) คลังสินค้า (-0.3%) บริการขนส่ง (-0.2%) ธุรกิจประกัน (-0.1%)

II. สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10% จากเม็กซิโกในอัตรา 25% และจากแคนาดาในอัตรา 25% ขณะที่จีนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ 10-15%
ฉากทัศน์ที่สองเป็นกรณีการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมจากกรณีแรก โดยในฉากทัศน์นี้สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% โดยวิจัยกรุงศรีพบว่าหากสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา จะสร้างผลลบที่รุนแรงขึ้นต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกในภาพรวม (ภาพที่ 7) โดย GDP และการส่งออกของโลกโดยรวมจะหดตัวในระดับที่สูงขึ้นที่ -0.1% และ -1.5% จากกรณีฐาน ตามลำดับ เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ผลิตภาพลดลง และความต้องการสินค้าจากประเทศเศรษฐกิจหลักลดลง นอกจากนี้ การส่งออกของสหรัฐฯ อาจหดตัวสูงถึง -11.2% จากกรณีฐาน ขณะที่การส่งออกของเม็กซิโกและแคนาดาจะหดตัวราว -1.2% และ -9.4% จากกรณีฐาน ตามลำดับ เช่นเดียวกับการลงทุนของสหรัฐฯ ที่หดตัวรุนแรงขึ้นที่ -1.9% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้น ทั้งสินค้าที่นำเข้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา ขณะที่การลงทุนในเม็กซิโกและแคนาดามีแนวโน้มหดตัว -19.6% และ -15.1% จากกรณีฐาน ตามลำดับ ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการย้ายฐานการผลิตตามความกังวลด้านความสามารถในการแข่งขันที่ลดลดง ขณะเดียวกัน ผลกระทบต่อการส่งออกของจีนรุนแรงขึ้นกว่าในฉากทัศน์แรกเช่นกัน โดยหดตัว -2.3% จากกรณีฐาน ส่วนการลงทุนมีแนวโน้มค่อนข้างทรงตัว (+0.02%) จะสังเกตได้ว่าการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ กระทบต่อการลงทุนในสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโกเป็นสำคัญ แต่กลับส่งผลให้ภูมิภาคอื่นๆ มีการลงทุนมากขึ้น อาทิ อาเซียน (+1.5%) สหภาพยุโรป (+1.6%) และประเทศอื่นๆ (+1.4%)


ในฉากทัศน์ที่ 2 ภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ที่เสียประโยชน์จากสงครามการค้ารุนแรงที่สุดคือหมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและถ่านหิน ที่หดตัว -2.6% จากกรณีฐาน รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าว (-1.8%) อุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วน (-1.8%) (ภาพที่ 8) ส่วนอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องหนังของสหรัฐฯ ได้รับผลบวกสูงสุดที่ 6.6% จากกรณีฐาน ขณะที่ผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมของจีนในหมวดการผลิตคอมพิวเตอร์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้รับผลลบสูงสุด ที่ -2.3% จากกรณีฐาน ขณะที่อุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือหมวดขนสัตว์และรังไหม (+1.1%)

ในฉากทัศน์ที่ 2 ภาคอุตสาหกรรมของแคนาดาที่เสียประโยชน์จากสงครามการค้ารุนแรงที่สุดคือหมวดการผลิตยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ที่ได้รับผลลบสูงถึง -32.7% จากกรณีฐาน รองลงมาเป็นภาคก่อสร้าง (-12.5%) อุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันพืช (-11.5%) (ภาพที่ 8 (ต่อ)) ส่วนอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องหนังของแคนาดาสามารถเติบโตได้สูงสุดที่ 34.1% ขณะที่ผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมของเม็กซิโกที่รุนแรงที่สุดอยู่ในภาคก่อสร้าง โดยหดตัวจากกรณีฐานถึง -19.3% สอดรับกับผลกระทบเชิงลบต่อการลงทุน ขณะที่อุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์สูงเป็นอุตสาหกรรมผลิตเภสัชภัณฑ์ (+42.0%) ข้าวเปลือก (+40.8%) กลุ่มขนสัตว์ และรังไหม (+39.4%)

สำหรับประเทศไทย ในฉากทัศน์ที่ 2 ไทยกลับได้ประโยชน์มากขึ้นกว่าฉากทัศน์แรก โดยภาพรวมเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยจะเพิ่มขึ้นจากกรณีฐาน 0.04% ขณะที่ผลบวกต่อการส่งออกและการลงทุนอยู่ที่ 0.5% และ 2.1% จากกรณีฐาน ตามลำดับ ส่วนภาคอุตสาหกรรมหรือบริการที่มีแนวโน้มได้ประโยชน์มากที่สุด (ภาพที่ 9) คือ อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (+3.8% จากกรณีฐาน) รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมก่อสร้าง (+2.0%) ผลิตภัณฑ์แร่ธาตุ (+0.9%) ขณะที่ อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบเชิงลบมากที่สุดคืออุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ (-1.9%) รองลงมาเป็นผลิตภัณฑ์จากไม้ (-1.5%) และผลิตภัณฑ์สิ่งทอ (-1.3%)

ภาคเกษตรไทยได้รับผลกระทบเชิงลบในทุกหมวด (ภาพที่ 10) โดยหมวดที่เสียประโยชน์มากที่สุดคือภาคป่าไม้ ซึ่งได้รับผลเชิงลบ -0.8% จากกรณีฐาน รองลงมาเป็นการปลูกอ้อย (-0.6%) เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ (-0.5%) ขนสัตว์และรังไหม (-0.3%) และผักและผลไม้ (-0.2%)

สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทย ในฉากทัศน์นี้ หมวดคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่ได้อานิสงส์มาก โดยได้รับผลบวก 3.8% จากกรณีฐาน รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์จากแร่ (+0.9%) ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง (+0.4%) น้ำมันและไขมันจากพืช (+0.3%) ขณะที่อุตสาหกรรมที่ได้รับผลลบรุนแรงสุดจากการขึ้นภาษียังคงเป็นหมวดเคมีภัณฑ์ (-1.9% จากกรณีฐาน) รองลงมาเป็นผลิตภัณฑ์จากไม้ (-1.5%) สิ่งทอ (-1.3%) และผลิตภัณฑ์กระดาษและสื่อสิ่งพิมพ์ (-1.3%) (ภาพที่ 11)

ภาคการก่อสร้างยังคงเป็นหมวดหมู่ในภาคบริการของไทยที่ได้อานิสงส์มากที่สุด (+2.0% จากกรณีฐาน) ผลจากแนวโน้มการย้ายฐานการผลิต ทำให้ความต้องการภาคก่อสร้าง การค้า การลงทุน ที่อยู่อาศัย และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและแรงงานที่เข้ามาประกอบกิจการมีแนวโน้มขยายตัว รองลงมาเป็นภาคค้าส่งค้าปลีก (+0.4%) ที่อยู่อาศัยและการเช่า (+0.2%) การแพทย์ (+0.1%) ส่วนภาคบริการที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ ได้แก่ คลังสินค้า (-0.9%) การบริการทางด้านธุรกิจ (-0.9%) ธุรกิจประกันภัย (-0.7%) และ บริการขนส่ง (-0.7%) (ภาพที่ 12)

กล่าวโดยสรุป การตอบโต้สงครามการค้าในครั้งนี้สร้างผลลบต่อทั้งเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ขัดแย้ง เนื่องจากต่างฝ่ายต่างพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานโลกที่ซับซ้อนมากขึ้น ในขณะที่ไทยได้รับผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม แต่เมื่อพิจารณาผลโดยสุทธิต่อภาพรวมในเชิงมหภาค ทั้ง GDP การส่งออก และการลงทุน ยังคงเป็นบวก (ภาพที่ 13)


เมื่อเปรียบเทียบผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทยในฉากทัศน์ทั้งสอง พบว่าฉากทัศน์ที่ 2 ส่งผลกระทบมากกว่าฉากทัศน์ที่ 1 โดยผลกระทบเชิงลบเกิดจากการส่งผ่านผลผ่านห่วงโซ่อุปทานของกลุ่มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์พื้นฐาน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และไฟฟ้า เป็นสำคัญ (ภาพที่ 14-15)


มุมมองวิจัยกรุงศรี
การศึกษาผลกระทบสงครามการค้าในครั้งนี้พบว่า การขึ้นภาษีนำเข้ายังคงสร้างผลกระทบต่อสหรัฐฯ ในระดับสูงทั้ง 2 ฉากทัศน์ โดยแบบจำลองแสดงให้เห็นว่า การขึ้นภาษีกับประเทศคู่ค้าสร้างแรงกดดันแตกต่างกันใน 2 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ยังไม่เคยโดนขึ้นภาษีนำเข้าอย่างรุนแรงมาก่อนหน้านี้ อันได้แก่แคนาดาและเม็กซิโก มีแนวโน้มเผชิญกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสองประเทศพยายามเร่งเจรจาหรือหามาตรการแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามที่สหรัฐฯ เรียกร้อง สะท้อนถึงประสิทธิผลในระดับหนึ่งของการใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือต่อรองของสหรัฐฯ ขณะที่ประเทศกลุ่มที่เคยเผชิญกับการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เช่น จีน จะได้รับผลกระทบส่วนเพิ่มต่อเศรษฐกิจในระดับที่ไม่สูงเท่ากับประเทศกลุ่มแรก เนื่องจากฐานภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บแต่เดิมนั้นสูงอยู่แล้วในระดับหนึ่ง ดังนั้น วิจัยกรุงศรีจึงคาดว่า การขึ้นภาษีนำเข้าจะเป็นเครื่องมือที่ส่งผลดีทางการเมืองต่อสหรัฐฯ ในระยะสั้น ซึ่งจะนำไปสู่การเจรจากับประเทศต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อตกลงพิเศษทางการค้า แต่ในระยะยาวอาจสร้างความเสียหายย้อนกลับมายังเศรษฐกิจของตนเองได้
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ภายใต้แบบจำลอง GTAP (Global Trade Analysis Project) ยังมีข้อจำกัดบางประการที่บางสถานการณ์อาจไม่สามารถนำมาประเมินในแบบจำลอง อาทิ การเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิต (ทุนและแรงงาน) ในแบบจำลองยังไม่สามารถตอบสนองต่ออุปสงค์และอุปทานได้ทันที ตลอดจนฐานข้อมูลมีความล่าช้ากว่าสถานการณ์ปัจจุบันดังนั้นการใช้แบบจำลอง GTAP จึงเป็นแนวทางในการประเมินผลกระทบเพื่อรับมือกับการขึ้นภาษีนำเข้าได้ในระดับหนึ่ง แต่อาจต้องพิจารณาควบคู่กับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพในการตั้งรับและปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่มีความซับซ้อนและพลวัตสูง
ด้วยความเชื่อมโยงในระดับสูงของอุตสาหกรรมไทยกับห่วงโซ่อุปทานโลก แม้ว่า ณ วันที่เผยแพร่บทความ สหรัฐฯ อาจยังไม่ได้ขึ้นภาษีนำเข้ากับไทยโดยตรง แต่ไทยก็อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมที่ส่งผ่านมาจากอุตสาหกรรมต้นน้ำของประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน ดังนั้นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ทันตามสถานการณ์ โดยเฉพาะการเสริมสร้างความเข้มแข็งจากภายในประเทศอาจช่วยลดผลกระทบความเสียหายจากภายนอกได้ดีขึ้น อาทิ การพึ่งพาการบริโภคและใช้จ่ายภายในประเทศมากขึ้น (Domestic Spending) รวมถึงกระจายตลาดส่งออกเพื่อลดระดับของการพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศคู่ขัดแย้ง และมุ่งเน้นนโยบายเชิงรุกในการเจรจาข้อตกลงทางการค้าทั้งกับคู่ค้าเดิมและตลาดใหม่ ตลอดจนพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมและบริการของไทย แนวทางเหล่านี้จะเป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยบรรเทาผลกระทบจากกระแสสงครามการค้าโลกที่รุนแรงและเข้มข้นขึ้นอย่างน้อยในช่วง 4 ปีนับจากนี้
1/ ในความเป็นจริง สหรัฐฯ ได้ประกาศชะลอการขึ้นภาษีให้แก่แคนาดาและเม็กซิโกเป็นการชั่วคราวอย่างน้อย 30 วัน นับจากวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568