EXECUTIVE SUMMARY
อุตสาหกรรมเครื่องดื่มของไทยพึ่งพาตลาดในประเทศกว่า 79% ของปริมาณจำหน่ายทั้งหมด โดยในปี 2565 สถานการณ์การผลิตและจำหน่ายโดยรวมเริ่มฟื้นตัว หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย และกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินได้ตามปกติ แต่ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2566 ภาวะการผลิตและจำหน่ายโดยรวมปรับลดลงตามภาวะกำลังซื้อที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพสูง รวมทั้งการปรับขึ้นราคาสินค้าจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและมาตรการขึ้นภาษีควบคุมความหวาน โดยในปี 2567-2569 การผลิตมีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยเฉลี่ย 1.5-2.5% ต่อปี โดยการจำหน่ายในประเทศจะขยายตัว 3.0-4.0% ต่อปี จาก (1) การฟื้นตัวเต็มรูปแบบของกิจกรรมภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม ผับ และบาร์ (2) สภาวะอากาศที่ร้อนชื้นจากผลกระทบของภาวะ El Niño และ (3) การขยายตัวของเมืองและร้านสะดวกซื้ออย่างต่อเนื่อง ด้านการส่งออกมีแนวโน้มเติบโต 1.5-2.5% ต่อปี จากการทยอยเปิดด่านการค้าระหว่างชายแดนของประเทศเพื่อนบ้านซึ่งกำลังซื้อทยอยฟื้นตัว อย่างไรก็ตามการขยายตัวของผลผลิตจากการลงทุนในต่างประเทศของผู้ประกอบการไทยที่ผ่านมาอาจทำให้การส่งออกเติบโตได้ไม่มากนัก
มุมมองวิจัยกรุงศรี
แนวโน้มผลประกอบการผู้ผลิตเครื่องดื่มโดยรวมของไทยในปี 2567-2569 มีทิศทางฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามสภาพเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมร้านอาหาร และการท่องเที่ยวในประเทศกลับมาฟื้นตัว แต่อาจเผชิญต้นทุนน้ำและวัตถุดิบเกษตรที่สูงขึ้นจากภาวะ El Niño ที่จะรุนแรงขึ้น
-
ผู้ผลิตน้ำดื่มและน้ำแร่บรรจุขวด: คาดว่ารายรับจะเพิ่มขึ้น จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและการท่องเที่ยวที่ช่วยหนุนอุปสงค์ต่อน้ำดื่ม โดยเฉพาะจากธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม และสถานบันเทิง รวมถึงความต้องการของผู้บริโภคที่คำนึงถึงความสะอาด ไม่ปนเปื้อน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตที่มีแบรนด์น่าเชื่อถือและมีมาตรฐานการผลิตสูง นอกจากนี้ความต้องการน้ำสะอาดจากประเทศ CLMV ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักจะมีทิศทางฟื้นตัวหลังจากการค้าชายแดนกลับมาปกติ
-
ผู้ผลิตน้ำอัดลม: กิจกรรมภาคธุรกิจที่กระเตื้องขึ้นท่ามกลางอุณหภูมิที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคเครื่องดื่มที่ทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น แม้จะมีผลกระทบจากมาตรการภาษีความหวาน แต่ผู้ผลิตหลายรายได้ปรับตัวหันไปใช้สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลมากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สำหรับกลุ่มผู้รักสุขภาพ อาทิ น้ำอัดลมผสมวิตามิน น้ำอัดลมแต่งกลิ่น/รสชาติเลียนแบบแอลกอฮอล์ และโซดารสผลไม้ต่างๆ จะช่วยหนุนให้รายได้มีแนวโน้มปรับดีขึ้น
-
ผู้ผลิตเบียร์: รายได้คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงหนุนจากธุรกิจร้านอาหาร ผับ บาร์ และสถานที่เที่ยวกลางคืนที่กลับมาดำเนินกิจการได้ตามปกติรองรับกิจกรรมการพบปะสังสรรค์ที่จะมีมากขึ้นเป็นลำดับ รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ที่มีหลากหลายและรสชาติแปลกใหม่เพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ต้นทุนวัตถุดิบเกษตรที่สูงขึ้นจากภาวะภัยแล้ง อาจจะกดดันความสามารถในการทำกำไร
- ผู้ผลิตสุรา: ปริมาณการบริโภคที่มีแนวโน้มลดลง จากราคาที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบ ในภาวะที่ผู้บริโภคยังระมัดระวังการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันไปเน้นเครื่องดื่มเชิงสุขภาพมากขึ้นแทน กดดันให้ผู้ผลิตมีแนวโน้มต้องเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยเพิ่มคุณภาพของส่วนผสมของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อเพิ่มความพึงพอใจและประสบการณ์ที่ดีในการบริโภคมากขึ้น.
ข้อมูลพื้นฐาน
อุตสาหกรรมเครื่องดื่มของไทยมีสัดส่วนของปริมาณการผลิตภายในประเทศ 98.3% ของปริมาณเครื่องดื่มที่บริโภคในประเทศทั้งหมด โดยเน้นผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วน 78.7%1/ ของปริมาณการผลิตทั้งหมดของไทย ส่วนที่เหลือเป็นการผลิตเพื่อส่งออก ขณะที่ปริมาณการนำเข้ามีสัดส่วนเพียง 1.7% ของปริมาณการจำหน่ายเครื่องดื่มในประเทศทั้งหมด โดยมีสัดส่วนปริมาณนำเข้าเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คิดเป็นสัดส่วน 43:57 ในเชิงปริมาณ และ 20:80 ในเชิงมูลค่า ในปี 2565 อุตสาหกรรมเครื่องดื่มในไทยมีโรงงานที่จดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 393 แห่ง ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคกลางเป็นหลัก โดยจังหวัดนครปฐมมีการจัดตั้งโรงงานเครื่องดื่มมากที่สุดจำนวน 38 โรงงาน รองลงมาได้แก่ ปทุมธานี (30 โรงงาน) ชลบุรี (29 โรงงาน) พระนครศรีอยุธยา (24 โรงงาน) สมุทรสาคร (18 โรงงาน) และกรุงเทพฯ (18 โรงงาน) จำนวนโรงงานเครื่องดื่มทั้งหมดแบ่งเป็น 1) โรงงานเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 332 แห่ง คิดเป็น 84% ของจำนวนโรงงานผลิตเครื่องดื่มทั้งหมด และ 2) โรงงานผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 61 แห่ง คิดเป็น 16% ของจำนวนโรงงานผลิตเครื่องดื่มทั้งหมด
ในปี 2565 ปริมาณจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศของไทยอยู่ที่ 12,112.2 ล้านลิตร คิดเป็นมูลค่า 14,363.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ2/ แบ่งเป็นเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คิดเป็นสัดส่วน 77:23 ในเชิงปริมาณ และ 40:60 ในเชิงมูลค่า (รูปที่ 1) มีรายละเอียดดังนี้
-
เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ มีปริมาณการจำหน่ายในประเทศ 9,334.6 ล้านลิตร คิดเป็น 5,703.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสัดส่วน 77.1% และ 39.7% ในเชิงปริมาณและเชิงมูลค่าของการจำหน่ายเครื่องดื่มทั้งหมดของไทยตามลำดับ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นน้ำดื่มและน้ำแร่บรรจุขวดซึ่งมียอดจำหน่ายรวมกัน 5,008.8 ล้านลิตร คิดเป็น 53.7% ของปริมาณจำหน่ายเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ น้ำอัดลมและโซดา (31.1%) ชาพร้อมดื่ม (4.3%) น้ำผลไม้ (3.5%) เครื่องดื่มชูกำลัง (3.2%) และเครื่องดื่มอื่นๆ (4.2%) ตามลำดับ
-
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีปริมาณการจำหน่ายในประเทศ 2,777.6 ล้านลิตร คิดเป็น 8,660.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสัดส่วน 22.9% และ 60.3% ในเชิงปริมาณและเชิงมูลค่าของการจำหน่ายเครื่องดื่มทั้งหมดของไทยตามลำดับ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นเบียร์ซึ่งมียอดจำหน่าย 2,017.1 ล้านลิตร คิดเป็น 72.6% ของปริมาณจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด รองลงมาได้แก่ สุรา (25.5%) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม (0.9%) ไวน์ (0.9%) และน้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการหมักหรือบ่มกับยีสต์ (0.1%) ตามลำดับ
ปริมาณการส่งออกเครื่องดื่มของไทยอยู่ที่ 2,580.3 ล้านลิตร คิดเป็น 2,726.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 (รูปที่ 2) ประเทศกัมพูชาเป็นคู่ค้าหลักในการส่งออกเครื่องดื่มของไทย มีสัดส่วน 21.2% ในเชิงปริมาณ ตามด้วย เวียดนาม (15.1%) เมียนม่า (12.5%) สหรัฐฯ (12.3%) และจีน (6.2%) โดยผลิตภัณฑ์ส่งออกแบ่งเป็น 1) เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ มีสัดส่วน 93.0% ในเชิงปริมาณ และ 85.0% ในเชิงมูลค่า ประเทศกัมพูชาเป็นคู่ค้าหลัก มีสัดส่วน 22.2% ของปริมาณส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ทั้งหมด รองลงมาได้แก่ เวียดนาม (16.2%) สหรัฐฯ (13.1%) เมียนม่า (9.6%) และจีน (6.6%) และ 2) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีสัดส่วน 7.0% ในเชิงปริมาณ และ 15.0% ในเชิงมูลค่า ประเทศเมียนม่าเป็นคู่ค้าหลัก มีสัดส่วน 49.4% ของปริมาณส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด รองลงมาได้แก่ สหรัฐ (12.7%) กัมพูชา (10.4%) ญี่ปุ่น (5.1%) และฟิลิปปินส์ (2.3%)
พัฒนาการและโครงสร้างอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในประเทศไทย
การผลิตเครื่องดื่มในเชิงพาณิชย์ของไทยในระยะแรกเป็นการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของภาครัฐ เพื่อจำหน่ายทดแทนการนำเข้า ระยะต่อมาภาครัฐได้เปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาลงทุนผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งมีการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มโดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment: BOI) อย่างต่อเนื่อง ทำให้อุตสาหกรรมเครื่องดื่มในไทยขยายตัวและสามารถผลิตเครื่องดื่มหลากหลายประเภททั้งเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยพัฒนาการของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่สำคัญในไทย มีรายละเอียดดังนี้
อุตสาหกรรมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ในยุคแรกเป็นการเข้ามาลงทุนของบริษัทข้ามชาติ เช่น กิจการผลิตน้ำอัดลม “Coca Cola” และโรงงานน้ำดื่มและน้ำแร่บรรจุขวด “POLARIS” ของนักลงทุนชาวอเมริกันที่เข้ามาลงทุนในปี 2492 และปี 2493 ตามลำดับ ต่อมาเมื่อเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ได้รับการตอบรับจากตลาดในประเทศมากขึ้น รัฐบาลไทยจึงออกนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ อาทิ พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุนในกิจกรรมอุตสาหกรรมในปี 2503 เพื่อผลิตสำหรับบริโภคในประเทศ และการส่งเสริมอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2515-2519) โดยอาศัยความได้เปรียบด้านต้นทุนแรงงานและวัตถุดิบทางการเกษตรที่หลากหลายในไทย โดยเฉพาะการผลิตน้ำผัก/น้ำผลไม้ ทำให้มีการลงทุนจากนักลงทุนไทยและต่างชาติในอุตสาหกรรมนี้เพิ่มขึ้นมากและสามารถผลิตสนองความต้องการตลาดในประเทศและตลาดส่งออกได้มากขึ้นเป็นลำดับ โดยประเภทและเงื่อนไขของการจัดตั้งโรงงานผลิตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในไทยภายใต้ พรบ.การจัดตั้งโรงงานปี 2535 สามารถจำแนกตามขนาดของจำนวนคนงานและตามกำลังการผลิตได้ดังนี้ (ตารางที่ 1)
ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศไทยมีผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยมีการผลิตหลากหลายประเภท ซึ่งโครงสร้างการผลิตและการตลาดในแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันดังนี้
-
อุตสาหกรรมน้ำดื่มและน้ำแร่บรรจุขวด เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เงินลงทุนสูงในช่วงเริ่มแรก โดยปัจจุบันมีการพัฒนาเครื่องจักรและเทคโนโลยีการกรองน้ำก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องจนสามารถกรองน้ำได้สะอาดตามมาตรฐาน ด้วยต้นทุนเครื่องจักรและต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำลง ทำให้มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้บางรายมีการรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์หรือกิจการเฉพาะอื่นๆ อาทิ โรงแรม โรงพยาบาล และมีการผลิตเครื่องดื่มประเภทอื่นควบคู่ด้วย เช่น น้ำอัดลม สุรา เบียร์ น้ำผลไม้ ฯลฯ ทำให้มีความได้เปรียบในการทำกลยุทธ์ขยายช่องทางการตลาด โดยผู้ผลิตน้ำดื่มและน้ำแร่บรรจุขวดที่สำคัญ ประกอบด้วย บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ (แบรนด์คริสตัล และช้าง), บจก. บุญรอดบริวเวอรี่ (แบรนด์สิงห์), บจก. เนสท์เล่ (ไทย) (แบรนด์เนสท์เล่ เพียวไลฟ์), บจก. โคคา-โคลา(ประเทศไทย) (แบรนด์น้ำทิพย์) และ บจก. ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย)(แบรนด์อควาฟิน่า) ในปี 2565 ผู้ผลิตกลุ่มนี้มีส่วนแบ่งตลาดรวมกัน 57.6% ของมูลค่าตลาดน้ำดื่มและน้ำแร่บรรจุขวดทั้งหมดในไทย โดยมีช่องทางการตลาดผ่านร้านค้าปลีก โมเดิร์นเทรด และร้านอาหาร รวมทั้งจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์และขายตรง (จัดส่งตามบ้านและอาคารสำนักงาน) นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์แบรนด์ท้องถิ่น (Local brand) ที่เน้นตลาดต่างจังหวัดซึ่งจำหน่ายในร้านค้าและร้านอาหารทั่วไป
-
อุตสาหกรรมน้ำอัดลม เป็นอุตสาหกรรมในตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly) ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาดไม่ง่ายนัก เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงในการซื้อเครื่องจักร (ต้นทุนคงที่) จึงจำเป็นต้องมีการผลิตในระดับที่เกิดการประหยัดจากขนาด และต้องอาศัยการนำเข้าหัวเชื้อจากบริษัทแม่ ผู้ประกอบการรายสำคัญ ประกอบด้วย บจก.โคคา-โคลา (ประเทศไทย) (แบรนด์โคคา-โคลา, แฟนต้า, สไปรท์ และชเวปส์ ), บจก.ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) (แบรนด์เป๊ปซี่, มิรินด้า และเซเว่นอัพ), บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ (แบรนด์เอส) และ บจก. อาเจไทย (แบรนด์บิ๊ก) โดยในปี 2565 ผู้ผลิตกลุ่มนี้มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันมากกว่า 98.4% ของมูลค่าตลาดน้ำอัดลมทั้งหมด
อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีพัฒนาการมาจากการผลิตสุราพื้นบ้านหรือสุราแช่ (สุราที่เกิดจากการหมักข้าวหรือน้ำตาล) ในปี 2470 ซึ่งเป็นการผลิตของไทยในยุคแรก รัฐเป็นผู้ผูกขาดการผลิตและจำหน่ายสุรา โดยผลิตสุราขาวที่โรงงานสุราบางยี่ขัน และมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสุราขาวมาผลิตสุราประเภทอื่นเพิ่มเติม อาทิ สุราผสม (ใช้สมุนไพรมาสกัดและแช่เพื่อผลิตสุราดีกรีสูงสำหรับเป็นหัวเชื้อ แล้วจึงนำมาปรุงแต่ง รส กลิ่น สี) และสุราปรุงพิเศษ ต่อมารัฐบาลมีนโยบายอนุญาตให้เอกชนเข้ามาดำเนินการผลิตสุราได้ตั้งแต่ปี 2502 โดยให้เอกชนประมูลสิทธิดำเนินกิจการโรงงานสุราบางยี่ขันในช่วงปี 2503-2542 ก่อนที่จะมีนโยบายเปิดเสรีการผลิตและจำหน่ายสุราในปี 2543 ซึ่งถือเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจครั้งสำคัญจากการเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานสุราอีกหลายแห่ง รวมทั้งเริ่มมีการผลิตเบียร์ในไทยซึ่งเป็นการร่วมทุนของทุนไทยและบรรษัทข้ามชาติ อย่างไรก็ตาม โรงงานผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังอยู่ภายใต้เงื่อนไขในการจัดตั้งและข้อจำกัดสำคัญ อาทิ การจัดตั้งโรงงานทุกขนาดจะถูกจัดอยู่ในประเภทโรงงานจำพวกที่ 3 ซึ่งต้องรับใบอนุญาตก่อนจัดตั้งโรงงาน ข้อกำหนดกฎหมายจากพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่อนุญาตให้โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกรูปแบบ รวมถึงการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านช่องทางจำหน่ายออนไลน์ ซึ่งข้อจำกัดดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กในการสร้างการรับรู้ของตลาดผู้บริโภค โดยโครงสร้างอุตสาหกรรมจำแนกได้ดังนี้
-
อุตสาหกรรมเบียร์ กฎกระทรวงฉบับปัจจุบันปี 2565 ได้ยกเลิกเงื่อนไขการกำหนดกำลังการผลิตขั้นต่ำ (จากเดิมต้องไม่ต่ำกว่า 100,000 ลิตรต่อปี) และทุนจดทะเบียน (จากเดิมต้องไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท) เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ผลิตเบียร์ที่สำคัญ ประกอบด้วย บจก. บุญรอดบริวเวอรี่ (แบรนด์ลีโอ, สิงห์, สโนวี่ ไวเซ่น และยู เบียร์), บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ (แบรนด์ช้าง, อาชา และเฟเดอร์บรอย), บจก. ไฮเนเก้น (แบรนด์ไฮเนเก้น) โดยในปี 2565 ผู้ผลิตกลุ่มนี้มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันมากกว่า 95.7% ของมูลค่าตลาดเบียร์ทั้งหมด
-
อุตสาหกรรมสุรา กฎกระทรวงปี 2565 อนุญาตให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถขยายโรงงานเป็นขนาดกลางได้ จึงทำให้มีโอกาสเติบโตได้มากขึ้น แต่การผลิตสุราบางส่วนก็ยังคงถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขปริมาณการผลิตขั้นต่ำไว้อย่างเดิม เช่น สุราชนิดพิเศษ และสุรากลั่นอื่นๆ ได้กำหนดปริมาณการผลิตขั้นต่ำไว้ในระดับที่สูงมาก สำหรับผู้ประกอบการผลิตสุรารายสำคัญ ประกอบด้วย บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ (แบรนด์รวงข้าว, หงษ์ทอง และเบลนด์ 285), บจก. ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) (แบรนด์จอห์นนี่ วอล์คเกอร์, สเมอร์นอฟ และเบนมอร์), บจก. รีเจนซี่ บรั่นดีไทย (แบรนด์รีเจนซี่) โดยในปี 2565 ผู้ผลิตกลุ่มนี้มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันมากกว่า 71.2% ของมูลค่าตลาดสุราทั้งหมด
สถานการณ์ที่ผ่านมา
การผลิตเครื่องดื่มของไทย
สถานการณ์การผลิตค่อนข้างผันผวนในช่วงที่ผ่านมาโดยในปี 2565 ดัชนีการผลิตอุตสาหกรรมเครื่องดื่มของไทยเพิ่มขึ้น +2.1% ก่อนที่จะปรับลดลง -3.9% YoY ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2566 และคาดว่าการผลิตโดยรวมทั้งปี 2566 มีแนวโน้มทรงตัวหรือเพิ่มขึ้น 0.0-2.0% (รูปที่ 4) โดยจำแนกรายผลิตภัณฑ์ได้ดังนี้
การจำหน่ายเครื่องดื่มในประเทศ8/
ปี 2565 ปริมาณจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มโดยรวมทุกประเภทภายในประเทศเพิ่มขึ้น +6.1% จากการผ่อนปรนมาตรการ COVID-19 ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจและภาคธุรกิจต่างๆเริ่มทยอยฟื้นตัว โดยธุรกิจร้านอาหาร ผับ บาร์ สามารถกลับมาเปิดให้บริการ และประชาชนออกมารับประทานอาหารนอกบ้านได้ตามปกติ ทำให้ผลิตภัณฑ์มีช่องทางการจำหน่ายและเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น สำหรับ 8 เดือนแรกปี 2566 ปริมาณจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง +6.7% YoY แรงหนุนจากอากาศที่ร้อนติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการเครื่องดื่มดับกระหายมากขึ้น รวมถึงธุรกิจท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ทำให้คาดว่าปริมาณการจำหน่ายเครื่องดื่มในประเทศทั้งปี 2566 น่าจะเติบโต 3.5-4.0% โดยสถานการณ์ความต้องการผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศจำแนกได้ ดังนี้
การส่งออกเครื่องดื่มของไทย
ปี 2565 ปริมาณส่งออกอยู่ที่ 2.6 พันล้านลิตร (-6.4%) ขณะที่มูลค่าส่งออกอยู่ที่ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+6.0%) (รูปที่ 16) โดยปริมาณการส่งออกที่หดตัวส่วนใหญ่มาจาก สุรา (-15.3%) และน้ำอัดลมและโซดา (-39.7%) สำหรับ 8 เดือนแรกปี 2566 ปริมาณส่งออกหดตัวเล็กน้อย -1.2% YoY และมูลค่าหดตัว -0.1% YoY จากภาวะกำลังซื้อที่ยังคงอ่อนแอ และค่าเงินที่อ่อนค่าของประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่ค้าหลัก อาทิ กัมพูชา และเมียนม่า โดยทั้งปี 2566 คาดว่าปริมาณการส่งออกน่าจะหดตัว (-0.5)-(-1.5)% โดยจำแนกรายผลิตภัณฑ์ส่งออกหลักได้ดังนี้
แนวโน้มอุตสาหกรรม
แนวโน้มปริมาณการผลิตเครื่องดื่มคาดว่าจะเติบโตโดยเฉลี่ย 1.5-2.5 % ต่อปี โดยแรงหนุนการเติบโตมาจาก 1) ภาวะ El Niño ส่งผลให้อุณหภูมิของไทยเพิ่มสูงขึ้น กระตุ้นความต้องการบริโภคเครื่องดื่ม และ 2) สต๊อกสินค้าที่มีแนวโน้มลดลงจากการเร่งระบายสต๊อกในช่วงที่ผ่านมา (Destocking) โดยเริ่มเข้าสู่การสะสมสต๊อกรอบใหม่ (Restocking) เพื่อรองรับทิศทางการฟื้นตัวต่อเนื่องของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านอุปทานที่อาจกดดันการผลิตมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นจากผลกระทบของภาวะ El Niño ที่จะรุนแรงขึ้น ส่งผลให้น้ำและพืชผลเกษตรที่ใช้เป็นวัตถุดิบมีแนวโน้มลดลงทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ แม้ว่าต้นทุนบรรจุภัณฑ์อาจจะลดลงบ้างตามทิศทางราคาพลังงานที่ปรับตัวลง โดยรายละเอียดในแต่ละผลิตภัณฑ์เป็นดังนี้
แนวโน้มปริมาณการจำหน่ายเครื่องดื่มในประเทศ คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.0-4.0% ต่อปี ตามความต้องการของผู้บริโภคที่จะเพิ่มขึ้นจากผลของสภาวะอากาศที่ร้อน การฟื้นตัวเต็มรูปแบบของธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม ผับ บาร์ และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง นอกจากนี้การขยายตัวของเมืองและร้านค้าปลีกสมัยใหม่อย่างต่อเนื่องยังส่งผลให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าได้ง่าย โดยแบ่งเป็นรายผลิตภัณฑ์ ดังนี้
-
เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์: ปริมาณการจำหน่ายในประเทศคาดว่าจะขยายตัว 3.5-4.5% ต่อปี โดยผลิตภัณฑ์หลักแบ่งเป็น 1) น้ำดื่มและน้ำแร่บรรจุขวดจะขยายตัว 3.0-4.0% ต่อปี จาก 1.1) ผู้บริโภคเลือกบริโภคสินค้าที่มีมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัยมากขึ้นหลังเผชิญเหตุการณ์ COVID-19 1.2) ภาวะอากาศที่ร้อนขึ้นและภัยแล้งทำให้ความต้องการน้ำดื่มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะผู้บริโภคในพื้นที่ห่างไกลต้องพึ่งพาน้ำบรรจุขวด เนื่องจากสภาวะโลกร้อนทำให้น้ำทะเลหนุนสูง น้ำประปา/น้ำบาดาลในบางพื้นที่จึงมีรสชาติเค็มหรือรสชาติที่เปลี่ยนไป และ 1.3) การขยายตัวของชุมชนเมืองและร้านค้าปลีกสมัยใหม่ช่วยหนุนให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น และ 2) น้ำอัดลมและโซดาจะขยายตัว 3.5-4.5% ต่อปี แรงหนุนมาจาก 2.1) การฟื้นตัวเต็มรูปแบบของธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.2) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่ภาวะโลกเดือดมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคต้องการบริโภคเครื่องดื่มที่ทำให้รู้สึกสดชื่นและดับกระหาย อย่างไรก็ตาม มาตรการเข้มงวดในการควบคุมความหวานของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มรอบล่าสุดที่มีผลตั้งแต่เดือนเมษายา 2566 ยังเป็นข้อจำกัดการเติบโตของเครื่องดื่มกลุ่มนี้ในตลาดในประเทศ แม้ว่าผู้ประกอบการบางรายจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำอัดลมที่ตอบรับกระแสรักสุขภาพของผู้บริโภคมากขึ้น อาทิ ไม่มีน้ำตาล/น้ำตาลน้อย และมีแคลอรีต่ำแล้วก็ตาม
-
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ปริมาณการจำหน่ายในประเทศคาดว่าจะยังทรงตัวหรือขยายตัวเล็กน้อย ที่ 0.0-2.0% ต่อปี โดยผลิตภัณฑ์หลักแบ่งเป็น เบียร์ขยายตัว 1.0-2.0% ต่อปี และสุราขยายตัวเล็กน้อย 0.0-1.0% ต่อปี โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวที่ชัดขึ้นของธุรกิจท่องเที่ยว และการกระเตื้องขึ้นต่อเนื่องของกิจกรรมทางธุรกิจ หนุนความต้องการที่มาจากธุรกิจร้านอาหาร ผับ บาร์ และสถานบันเทิง อย่างไรก็ตามปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตให้อยู่ในอัตราต่ำ ได้แก่ 1) กระแสใส่ใจด้านสุขภาพที่มากขึ้นทำให้ผู้บริโภคบางส่วนลดปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง และ 2) ช่องทางการจำหน่ายที่ยังถูกจำกัดจากกฎหมายควบคุมให้จำหน่ายผ่านร้านค้า ห้างสรรพสินค้า หรือกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Offline Retail) เท่านั้น รวมทั้งการห้ามโฆษณา ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการสูญเสียโอกาสในการนำเสนอผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภคตามสื่อและช่องทางออนไลน์ต่างๆ แม้ว่าจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆโดยเฉพาะเบียร์ที่มีรสชาติแปลกใหม่และพัฒนาคุณภาพของส่วนผสม เพื่อเพิ่มความพึงพอใจและประสบการณ์ที่ดีในการบริโภคก็ตาม
แนวโน้มปริมาณส่งออก คาดว่าจะขยายตัว 1.5-2.5% ต่อปี จากการเปิดด่านชายแดนระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญ ประกอบกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบางประเภททำให้ได้รับความนิยมจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น11/ โดยแบ่งเป็นรายผลิตภัณฑ์ดังนี้
-
เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์: ปริมาณการส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 1.5-2.5% ต่อปี โดยผลิตภัณฑ์หลักแบ่งเป็น 1) น้ำดื่มและน้ำแร่บรรจุขวดจะขยายตัว 11.5-12.5% ต่อปี ตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการขยายช่องทางการค้าของกลุ่มประเทศ CLMV อาทิ เมียนม่า ลาว กัมพูชา ที่เป็นคู่ค้าหลักซึ่งส่วนใหญ่ยังมีพื้นที่ขาดแคลนน้ำสะอาดที่ได้มาตรฐานสุขอนามัย 2) น้ำอัดลมและโซดาจะหดตัว (-2.0)-(-3.0)% ต่อปี เนื่องจากคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะกัมพูชาและเมียนม่า มีการเข้าไปลงทุนของผู้ประกอบการไทย บริษัทข้ามชาติ และบริษัทท้องถิ่นมากขึ้น ประกอบกับราคาจำหน่ายเครื่องดื่มท้องถิ่นมีราคาต่ำกว่าสินค้านำเข้า 3) เครื่องดื่มให้พลังงานจะขยายตัว 4.5-5.5% ต่อปี โดยแรงขับเคลื่อนส่วนใหญ่มาจากประเทศเวียดนาม ซึ่งผู้บริโภคมีความต้องการแหล่งพลังงานที่สดชื่นและรวดเร็วตามวิถีชีวิตที่เร่งรีบและทำงานหนักมากขึ้น และ 4) น้ำผลไม้จะทรงตัวที่ 0.0-1.0% ต่อปี โดยตลาดที่ขยายตัวได้แก่ ประเทศจีนซึ่งผู้บริโภคนิยมนำน้ำผลไม้ไปผสมเครื่องดื่มอื่นๆ เพื่อสุขภาพมากขึ้น ขณะที่ความต้องการจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญอาจยังฟื้นตัวช้าจากกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ และผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย
-
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ปริมาณการส่งออกคาดว่าจะหดตัว (-4.5)-(-5.5)% ต่อปี โดยผลิตภัณฑ์หลักแบ่งเป็น 1) เบียร์จะหดตัว (-4.0)-(-5.0)% ต่อปี และ 2) สุราจะหดตัว (-5.0)-(-6.0)% เนื่องจาก i) ประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) ซึ่งเป็นตลาดหลักยังมีแนวโน้ม ซึ่งประเทศเหล่านี้มีแนวโน้มระมัดระวังการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยตามภาวะกำลังซื้อที่ยังมีแนวโน้มเปราะบาง ii) การแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศยังเผชิญการแข่งขันค่อนข้างสูงจากการเข้ามาลงทุนของผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ
1/ ที่มา : Euromonitor, Ministry of Commerce
2/ อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทยประจำปี 2565 ที่ 35.07 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
3/ เป็นการใช้เครื่องมือหรือวิเคราะห์ปริมาณแอลกอฮอล์ เพื่อควบคุมคุณภาพเพื่อให้มีแอลกอฮอล์เพียงพอที่จะนำไปกลั่น ตัวอย่างเครื่องมือและวิธี อาทิ Density Meter, Gas Chromatograph, UV-Visible Spectrophotometer (ที่มา: กรมสรรพสามิต)
4/ Suggested Retail Price คือ ราคาขายที่ผู้ผลิต แนะนำให้ผู้ขายหรือผู้ค้าปลีกจำหน่ายสินค้า
5/ Alcohol by Volume คือปริมาณแอลกอฮอล์โดยปริมาตร หรือเรียกอีกอย่างว่า ดีกรี
6/ ที่มา: ประกาศกรมสรรพสามิต เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเสียภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละศูนย์สำหรับเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้และน้ำพืชผัก
7/ ที่มา: ประกาศกรมสรรพสามิต เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเสียภาษีในอัตราตามมูลค่าสำหรับเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้และน้ำพืชผักที่มีการเติมสารอาหารหรือสารอื่น
8/ การจำหน่ายของปี 2565 ใช้ข้อมูลจาก Euromonitor และการจำหน่ายของ 8 เดือนแรกปี 2566 ใช้ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
9/ น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟและชา กาแฟสำเร็จรูป นมข้นหวาน และนมข้นจืด ซึ่งมีผลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 จนถึงปัจจุบัน (ที่มา: รัฐบาลไทย)
10/ แอลกอฮอล์ที่ใช้นั้นจะมีเปอร์เซ็นต์ของแอลกอฮอล์ต่อปริมาณของสารละลายมากกว่า 80 ขึ้นไป ซึ่งสามารถใช้เป็นสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมหรือเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสุรา (ที่มา : U.S. Food & Drug Administration และ กรมสรรพสามิต)
11/ ที่มา: กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ