ก็ต้องยอมรับตามสภาพว่า ปีนี้เศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ดีนัก ราคาพืชผลทางการเกษตรยังตกต่ำ
การลงทุนจากต่างประเทศมีย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน ภาคการส่งออกไม่เติบโต ตลาดหุ้นแผ่วลง ภาพการลงทุนรวมของโลกชะลอตัว ทุกอย่างดูจะพันกันแบบงูกินหาง ค้าขายไม่ดี เกิดจากคนจับจ่ายน้อยลง เศรษฐกิจก็ไม่เคลื่อน นั่นเป็นที่มาของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ เพื่อหวังให้เกิดการจับจ่าย และขับเคลื่อนให้เกิดสภาพค้าคล่อง ขายดี อัดฉีดกันมาตลอดช่วงต้นปี แบบต้องส่งแรงใจไปช่วย เมืองไทยจะมีลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่ง คือ หากปีไหนข้าวราคาดี หรือยางพาราราคาดี ปีนั้นเศรษฐกิจจะสะพัด มีรถปิกอัพป้ายแดงออกมาวิ่งเกลื่อนถนน ทำมาค้าคล่อง…
ในทางกลับกัน... ก็เป็นอย่างที่เห็นในปีที่แล้ว ปีนี้ ดูเงียบ ๆ ยังไม่ใช่เวลาที่ดีนักของชาวนา ชาวไร่ ราคาสินค้า Commodity เป็นเรื่องของโลก คือ ยากที่จะควบคุมได้ แล้วยาก ๆ แบบนี้จะลงทุนอะไรกันดี? ต้องมาตั้งคำถามแบบนี้กันดีกว่าที่จะรอให้ทุกอย่างเข้าทางแล้วค่อยลงทุน เชื่อหรือไม่ว่าคนที่ประสบความสำเร็จล้วนสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกสถานการณ์ จะไม่มัวนั่งบ่น รอ หรือโทษ โน่น นี่ นั่น เพื่อไม่ต้องทำอะไร
ผมจะลองยก 3 ตัวอย่างการลงทุนกันดูในช่วงสภาพเศรษฐกิจอย่างนี้
1. ลงทุนในสิ่งที่ไม่ดี แต่เพิ่มมูลค่าเพิ่ม
เช่น การแปรรูปข้าว, ยางพารา, กล้วย ฯลฯ ให้เป็นสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น หรือเป็นที่ต้องการมากขึ้น เพราะเมื่อต้นทุนวัตถุดิบถูกนั่นแหละคือโอกาสให้ได้เกิดโปรดักส์ใหม่ ๆ แทนที่จะมุ่งเน้นจะขายแต่ข้าวเปลือก ก็แปลงให้เป็นขนมกรอบที่ทำจากข้าว หรือแทนที่จะเน้นแต่การขายยางแผ่น ก็ตั้งโรงงานทำของเล่นจากยาง เป็นต้น
2. ลงทุนในสิ่งที่ดีอยู่ ตามเทรนด์กันไป
ในทุกสภาพเศรษฐกิจจะมีทั้งธุรกิจที่ดีและไม่ดีปะปนกันอยู่เสมอ คงจะไม่ปฏิเสธกันว่าธุรกิจท่องเที่ยวยังเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาเมืองไทยอย่างสม่ำเสมอ หรือธุรกิจที่เกาะกระแสจากการลงทุนภาครัฐก็ดูยังไปกันได้ มีมากหน้าหลายธุรกิจที่เติบโตเกาะเทรนด์ได้แบบสวนกระแสเศรษฐกิจ เพียงแต่อย่าเหมารวมว่าทุกอย่างไม่ดีเป็นพอ ของดี ๆ ยังมีอีกเพียบ
3. ลงทุนในสิ่งที่กำลังจะดี เป็นธุรกิจแห่งอนาคต
อาทิ การลงทุนเกี่ยวกับสังคมผู้สูงอายุ การลงทุนในสตาร์ทอัพ หรือการลงทุนในสิ่งที่จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในปีถัด ๆ ไป ซึ่งการลงทุนในแนวนี้ต้องอาศัยสายตา (Vision) ที่กว้างไกล มองโลกให้ออก ซึ่งเมื่อเห็นชัดแล้วจะนำพามาซึ่งธุรกิจที่จะสร้างผลตอบแทนได้มากมายก่อนใคร ข้อแม้อย่างเดียวก็คือ ต้องอ่านอนาคตเก่งและกล้าที่จะทำด้วยพร้อม ๆ กัน
สภาพความผันผวนที่เราอาจจะคิดว่ามาแล้วก็ไป รอให้โน่นจบก่อน นี่ดีขึ้น แล้วเดี๋ยวค่อยทำ นั่นอาจจะเป็นการคอยที่ไม่มีความจริงที่เฝ้าหวังกลับมาก็เป็นได้ ความผันผวนจะคงอยู่กับเราตลอดไป และแนวโน้มจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยตัวแปรที่เปลี่ยนไป การปรับตัวต่างหากที่สำคัญกว่าการรอคอย ทุกสภาพเศรษฐกิจล้วนมีเรื่องให้น่าลงทุนอยู่เสมอ