ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการช้อปปิ้งออนไลน์เข้ามามีบทบาทในแวดวงธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด จากปรากฎการณ์ช้อปออนไลน์ผ่าน Campaign 11.11 ในปี 2019 ที่ผ่านมา คนไทยช้อปปิ้งอย่างดุเดือดจนครองแชมป์สูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมธุรกิจ E-commerce ในไทยยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจ้าของธุรกิจต้องปรับตัวหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อยกระดับแพลตฟอร์มของตัวเองให้เหนือกว่า ส่งมอบประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคให้ดีมากยิ่งขึ้น และเทรนด์ที่น่าจับตามองว่าจะมาเปลี่ยนแปลงวงการตลาด E-commerce ก็คือ Voice Search หรือการค้นหาด้วยคำสั่งเสียงนั่นเอง
Voice Search เหนือกว่า Text Search ตรงไหน?
ที่จริงแล้วการค้นหาด้วยคำสั่งเสียงไม่ใช่ฟังก์ชันใหม่ แต่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2011 แล้ว ปัจจุบันได้รับการพัฒนาให้มีความทันสมัย เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมช้อปปิ้งและทำธุรกรรมออนไลน์ผ่าน สมาร์ทโฟน เนื่องจากการค้นหาด้วยเสียงสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของการค้นหาแบบ Text Search ที่รวดเร็วและง่ายกว่า เพราะคนเราสามารถพิมพ์ข้อความประมาณ 38-40 คำ ภายใน 1 นาที แต่สามารถพูดได้ถึง 110-150 คำ ทำให้ Voice Search ก้าวขึ้นมาเป็นเทรนด์สำคัญของ Search engine marketing
ข้อดีของ Voice Search คือ ลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลต่าง ๆ ได้ทันที โดยที่อาจจะทำกิจกรรมอื่นร่วมไปด้วย ไม่ต้องปลีกตัวเพื่อมาก้ม ๆ เงย ๆ พิมพ์ Keyword หรือค้นหารายการสินค้าในเว็บไซต์ ทั้งนี้การใช้เสียงเพื่อค้นหาจะทำให้ลักษณะของคำใกล้เคียงกับภาษาพูดมากขึ้น ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นคำถาม ซึ่งแตกต่างจาก Text Search ที่มักจะใช้ภาษาเขียนเป็นหลัก ด้วยข้อดีเหล่านี้ทำให้กลุ่มธุรกิจ E-commerce นำฟังก์ชัน Voice search ไปใช้ประโยชน์ในการให้บริการค้นหาข้อมูลผ่านการใช้เสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และนำไปสู่การพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่รองรับการสั่งงานและใช้เสียงเพื่อการค้นหาสินค้าหรือบริการได้ง่ายยิ่งขึ้น
เทรนด์ Voice Search กับ E-Commerce ทั่วโลก
แม้ตลาด E-Commerce ในไทยจะยังไม่ได้นำ Voice Search มาปรับใช้ แต่ในต่างประเทศได้นำร่องมาหลายปีแล้ว เห็นได้จากบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ได้พัฒนาฟังก์ชันหรือสินค้าที่รองรับ Voice Search มากมาย หลายคนคงคุ้นเคยกับฟีเจอร์ค้นหาด้วยเสียงที่อยู่บนหน้าหลักของ Google Home หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ Alexa by
Amazon อุปกรณ์ Virtual assistant ที่เชื่อมต่อเข้ากับ Smart Device ภายในบ้าน ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการสั่งให้เริ่มต้นทำงาน สั่งให้เปลี่ยนเมนู หรือสั่งให้หยุดการทำงาน และยังสามารถสนทนาไปมาถามได้ว่าสภาพอากาศวันนี้เป็นอย่างไร หรือสั่งให้หาข้อมูลของยาสีฟัน รวมถึงทำการสั่งซื้อและจ่ายเงินให้เราได้เลย เรียกได้ว่าสะดวกสบายสุด ๆ
ด้านอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงก็มี Apple Homepod นวัตกรรมลำโพงไร้สายที่ใช้งานร่วมกับ Siri สามารถสั่งเปิดเพลงที่ระบุจากชื่อเพลง หรือแค่ร้องเพลงขึ้นมา อุปกรณ์ก็จะทำการค้นหาเพลงให้ทันที นอกจากนี้ยังสามารถสั่งกาแฟจากแอปพลิเคชันของร้านกาแฟได้ด้วย
หันมาดูฝั่งเอเชีย ยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba ก็จับมือกับ Starbucks เสิร์ฟความสะดวกสะบายให้ลูกค้าสั่งเครื่องดื่มแก้วโปรดผ่าน Tmall Genie ซึ่งเป็นลำโพงอัจฉริยะจากการพัฒนาของ Alibaba ที่เป็นเหมือน ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ Alibaba ได้ทั้งหมด ขั้นตอนการสั่งงานก็แค่พูดชื่อเครื่องดื่ม แล้วออเดอร์ที่สั่งก็จะมาเสิร์ฟให้ถึงที่ภายใน 30 นาที ทั้งหมดนี้ทำได้ง่าย ๆ ด้วยฟังก์ชันการใช้คำสั่งเสียง
แล้วธุรกิจ E-Commerce ต้องปรับตัวอย่างไร?
ขณะที่ผู้บริโภคได้ประโยชน์จาก Voice Search อย่างเต็มที่ ในด้านของผู้ทำธุรกิจ E-commerce ก็ต้องปรับตัวตามให้ทันความต้องการของผู้บริโภค ด้วยการพัฒนาฟีเจอร์เว็บไซต์ให้รองรับคำสั่งเสียง เพราะฉะนั้น Voice Search จะมีผลกับการทำ SEO ที่ Keyword จะแตกต่างจากการค้นหาด้วย Text ธรรมดา เช่น ถ้าเราอยากจะซื้อของฝากที่เชียงใหม่ ถ้าค้นหาด้วย Text เราอาจจะพิมพ์ว่า “ของฝาก เชียงใหม่” แต่ถ้าค้นหาด้วยเสียง เราจะพูดว่า “ของฝากจังหวัดเชียงใหม่มีอะไรบ้าง?” ทำให้เว็บไซต์ต้องปรับปรุงเนื้อหา ที่ควรอยู่ในรูปแบบการตอบคำถามเป็นหลัก เรียกได้ว่าต้องเริ่มขยับตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงกันอีกระลอกหนึ่งแล้วนะครับ
Voice Search ทำให้เกิดโอกาสใหม่ ๆ ในการขายสินค้าก็จริง ทั้งนี้แต่ก็อยากให้คนทำธุรกิจคิดเพิ่มอีกสักนิดหนึ่งนะครับ เพราะเมื่อผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าโดยไม่จำเป็นต้องสั่งงานผ่านหน้าเว็บไซต์ หรือพิมพ์คำค้นหาใน Google Search ก็อาจทำให้ธุรกิจเสียโอกาสนำเสนอโปรโมชั่นใหม่ หรือการโปรโมทสินค้าบางตัวบนหน้าเว็บไซต์ จุดนี้ก็ต้องมีการปรับตัวกันต่อไป
Voice Search ถือเป็นเทคโนโลยีที่หลายคนมองว่ามีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี เหมาะแก่การนำมาปรับใช้กับธุรกิจออนไลน์ ถือเป็นการสร้างโอกาสในการเติบโตและเป็นการปรับตัวรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่สุด คือ ลูกค้า ให้ความสนใจในกลุ่มเป้าหมาย ศึกษาพฤติกรรม ใส่ใจรายละเอียดของสินค้า สร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ที่เข้าใจได้ง่าย รวมถึงการบริการหลังการขาย เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดไปยังผู้บริโภคนั่นเอง