มุมมองของผู้บริหารหนุ่ม จิ๊บ - พงศธร ธรรมวัฒนะ ที่สะท้อนถึงการบริหารทั้งธุรกิจและทีมที่เริ่มต้นจากเรื่องเล่น ๆ ให้เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่
“ของเล่น” ที่ใครหลายคนอาจมองเป็นเรื่องเล่น ๆ แต่สำหรับคนหนุ่มรุ่นใหม่อย่าง จิ๊บ-พงศธร ธรรมวัฒนะ เขามองไกลออกไปกว่านั้น ด้วยการเปลี่ยนความชื่นชอบในการสะสมของเล่นให้กลายเป็นธุรกิจที่สร้างอาชีพให้กับตัวเองได้ตั้งแต่อายุยังน้อย จนทำให้ชื่อของจิ๊บ-พงศธร หรือ จิ๊บ
Play House กลายเป็นชื่อแรกที่ทุกคนในแวดวง Designer Toy ในไทยนึกถึง
Designer Toy คืออะไร
Designer Toy คือ ของเล่นของสะสมที่ออกแบบโดยความคิดของศิลปินแต่ละท่าน ซึ่งอาจจะได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งต่าง ๆ ที่เห็นในชีวิตประจำวัน หรือบางทีก็มาจากจินตนาการของศิลปินเอง และดีไซน์ออกมาเป็นของเล่น ทำให้คนทั่วไปจับต้องได้ เป็นสิ่งที่เติมเต็มจินตนาการของแต่ละคน
เริ่มต้นจากสิ่งที่ชอบ และลงมือทำให้เต็มที่
เอาจริง ๆ ไม่เคยคิดว่าของเล่นจะเป็นธุรกิจได้ คิดแค่ว่าของเล่นคือสิ่งที่เราชอบ โดยเริ่มจากการที่มีบริษัทในต่างประเทศให้โอกาสเรานำเข้าสินค้า พอเขาให้โอกาสเราปุ๊บ เราจึงรับโอกาสนั้นมาและทำจนมันเกิดขึ้นได้จริง พอเราทำขึ้นมาก็ลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ มันไม่ได้ขายดีหรือมีกำไรเยอะมากขนาดหล่อเลี้ยงได้ทุกอย่าง แต่มันทำให้เราใช้ชีวิตประจำวันได้ คงเพราะเรามี Passion กับมัน เราเลยทำมันได้อย่างต่อเนื่อง ผมเชื่อว่าน้อยคนนะที่จะตื่นมาแล้วมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำ ผมเลือกเงินน้อย ๆ แต่มีใช้นาน ๆ มีความสุขกับมัน ผมก็เลยเริ่ม
ทำอะไรที่เราชอบและมีความถนัดกับสิ่งนั้นดีกว่า พร้อมกับการเรียนรู้จากหลายคนไปเรื่อย ๆ จากศิลปินที่เรารู้จักระดับโลกอย่าง Ashley Wood และ Kim Fung Wong ก็ด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้ง 2 ท่านนี้เองก็เป็นคนที่ยื่นโอกาสให้ผมนำเข้าของเล่นที่เขาออกแบบและผลิตเข้ามาขายแต่เพียงผู้เดียวในไทย
Play House ตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนรักของเล่น
Play House เกิดจากการร่วมกันทำกับพี่สาว หลังจากที่เริ่มมีงาน THAILAND TOY EXPO ซึ่งเป็นงานของเล่นและของสะสมแรกที่เปลี่ยนวงการของเล่นของบ้านเรา ก่อนจะมีงานอื่น ๆ ตามมาภายหลัง จากงานนั้นมีคนเรียกร้องว่าจะไปหาซื้อได้ที่ไหนต่อ จึงทำให้เกิดร้าน Play House ขึ้นมา เราจัดการโดยแบ่งเป็นโซนต่าง ๆ อย่างโซนลิขสิทธิ์ทุกอย่างเป็นของพี่สาว ส่วนโซน Designer Toy จะเป็นของผม ตั้งใจให้ที่นี่เป็นที่ ๆ ทุกคนเข้ามาแล้วมีความสุข ได้มาเติมเต็มสิ่งที่คุณขาดหายไป เหมือนเป็นบ้านหลังหนึ่งให้ทุกคนเข้ามาดูได้ ส่วนที่ถามว่าประสบความสำเร็จไหม ผมมองว่ามันเป็นก้าวแรกดีกว่า มันเป็นอะไรที่แปลกใหม่ อย่างคอลเลกชั่นของ Designer Toy ของเรา มันก็ไม่แพ้ของชาติใดในโลก เช่น คอลเลกชั่น KWAII Clomp By JPX x Coarse ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นที่เคยสร้างปรากฏการณ์มีคนมารอคิวจองหน้าร้านตั้งแต่ในเช้าวันแรกที่เปิดขายซึ่งมีเพียง 350 ตัวทั่วโลกเท่านั้น จุดนี้เองเลยทำให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเวลามาไทยต้องมาที่ร้านเรา
แหล่งรวม Designer Toy และ Character ในดวงใจ
มันเป็นการรวมตัวกันของ Designer toy กับคอลเล็กชั่นอย่าง ดิสนีย์ และ สตาร์วอร์ส ครับ เลยทำให้เรามีเอกลักษณ์มากกว่าที่อื่น ลูกค้าผู้ชายสามารถมาดูโซนนี้ ลูกค้าผู้หญิงไปดูอีกโซนหนึ่ง และยังมีของกระจุกกระจิกด้วย เลยทำให้เกิดความหลากหลาย ทุกคนสามารถเข้ามาดูได้
(ที่มาภาพ: JPX)
ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยความจริงใจในการทำธุรกิจ
จริง ๆ ผมยังไม่ได้ประสบความสำเร็จหรอกครับ ผมเรียกตัวเองว่ากำลังเรียนรู้อยู่ในขั้นแรกดีกว่า ผมมองว่าความสำเร็จมันเกิดขึ้นเมื่อเราตาย แต่คำที่เราเคยพูดหรือสอนคนอื่น หากได้มีคนนำไปใช้และนำไปเป็นแบบอย่าง ผมว่าอันนั้นแหละคือการประสบผลสำเร็จมากกว่า อย่างวิธีที่ผมทำคือเราจริงใจกับลูกค้า ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ตั้งราคาสมเหตุสมผล ไม่ใช่วันนี้เราขายดีปุ๊บ เราจะฟันกำไร เราจะขายตามราคาที่เราคิดว่าเข้าถึงคนได้ และสิ่งที่ผมยึดถือก็คือเอาตัวเงินเป็นตัวรอง เอางานเป็นตัวหลัก ทำงานเพื่อสร้างเงินในอนาคตมากกว่า
Service-Minded ต้องมาก่อน
พนักงานที่นี่ไม่จำเป็นต้องอินกับของเล่นเป็นพิเศษนะ ผมรับพนักงานโดยจะเน้นให้เป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสมากกว่า มีอัธยาศัยที่ดี รักการบริการ โชคดีที่ว่าเด็กที่ร้านเราเป็นเด็กขยัน ใฝ่เรียนรู้ มีอะไรที่ไม่เข้าใจจะถามตลอดเลยว่า อันนี้คืออะไร เป็นยังไง เวลาตอบคำถามลูกค้าก็จะตอบได้ตรงตามข้อมูลที่เราให้ไว้ ที่สำคัญเลยคือผมจะเน้น Service มาก่อน แต่ก่อนถ้าลูกค้าเดินมาจะเห็นผมไปยืนหน้าร้านด้วย เดี๋ยวนี้ก็ยังมีบ้างครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างคือความยากในการทำธุรกิจ
เพราะผมไม่รู้อะไรเลยสักอย่างในการเริ่มทำธุรกิจง่าย ๆ แต่ผมเลือกที่จะลองทำดู เห็นหลายคนประสบความสำเร็จ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพี่ ๆ ที่รู้จักกัน ก็เลยอยากทำให้ได้เหมือนเขา ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผมผิดพลาด หรือประสบการณ์จากพี่ๆ ทุกท่านที่ผิดพลาด แล้วนำมาเป็นบทเรียน ปรับเปลี่ยนเป็นแนวทางของเราเองในทุก ๆ วัน ผมมองว่าการเรียนรู้มันไม่มีที่สิ้นสุดนะ คือทำไปด้วยเรียนรู้ไปด้วยเลย เราก็จะได้รู้ว่าองค์กรต้องมีอะไรบ้าง เช่น ต้องมีคนทำบัญชี จ่ายเงินยังไง นำเข้ายังไง เสียภาษียังไง
มุมมองต้องกว้างกว่า เมื่อขยับสู่สเกลที่ใหญ่ขึ้น
เพราะว่าถ้าเราจะโตขึ้น ก็ต้องขยายมุมมองในด้านการตลาดตามไปด้วย ผมเคยเชื่อประโยคหนึ่งว่า “ขายดีจนเจ๊ง” คือมันก็มีช่วงหนึ่งที่เราคิดว่าเราขายได้ขนาดนี้ แล้วเงินหายไปไหน เป็นช่วงที่เราหมุนเงินไม่ทัน เราขายดี เราเลยซื้อของเยอะขึ้นกว่าเดิม จากแต่ก่อนสมมติว่า ซื้อ 10 ชิ้น เพิ่มเป็น 100 ชิ้น 200 ชิ้น จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เราต้องดูเรื่องรายรับรายจ่ายของเราให้ดี ๆ มันไม่ใช่ว่าทุกตัวจะดีแล้วขายได้ บางทีเราคิดไปเอง เราไม่ได้ไปสำรวจตลาด คือตลาดเรามีความต้องการ แต่ความต้องการไม่มากพอตามที่เราออเดอร์มา
ดิจิทัล ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งเวิร์ก
ดิจิทัล มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดีคือมันทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น เช่น คนบางคนเขาไม่ได้มีเวลามาที่ร้าน เขาก็จะซื้อออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์เรา แต่ข้อเสียก็คือมันทำให้คนขี้เกียจ บางทีคนเห็นแค่อย่างเดียว ไม่ได้เห็นอย่างอื่น ผมว่ามันดีอย่างเสียอย่าง ทุกวันนี้ก็มีธุรกิจอย่างอื่นเกิดขึ้น เช่น Messenger เคลื่อนที่ของบริษัทที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ให้คนซื้อของรับของได้ ก็ดีขึ้นเยอะ ผมว่ามันดีทั้งหมดแหละครับ มันอยู่ที่มุมมองการใช้งานของแต่ละคนมากกว่า ผมว่าเวิร์คนะ ดิจิทัลช่วยให้ธุรกิจดีขึ้น ซึ่งเราเข้าสู่
ยุค Mobile First และ SME ต้องปรับตัวกันมากเลยทีเดียว
(ที่มาภาพ: Thairath)
อย่ากลัวที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจ
ถ้าเรารู้จักตัวเอง อย่ากลัวที่จะเริ่ม อย่ากลัวความผิดพลาด ถ้าคุณกลัวความผิดพลาดคุณก็อย่าเริ่มเลย โอเคคนอาจจะมองว่าคุณเกิดในตระกูลที่ได้เปรียบคนอื่นหรือเปล่า คุณถึงพูดได้ ผมไม่ใช่นะต้องบอกเลยว่า ผมเริ่มจากตัวผมเอง โดยที่ผมไม่ได้ยุ่งกับเงินสักบาทจากตระกูลผมเลย โอเคในประเทศไทยคนรู้จักตระกูลเรา แต่พอไปต่างประเทศไม่มีใครรู้จักเรานะ เราเป็นแค่ No One คือเราเริ่มจากตรงนั้น ค่อย ๆ เรียนรู้ไป ค่อย ๆ ขอความช่วยเหลือเขาไป อย่าอายที่จะให้คนอื่นเขาสอน อย่าอายที่จะเรียนรู้ อย่าอายที่จะถาม ผมเชื่อว่าทุกคนที่เอ็นดูเรา เขาก็พร้อมที่จะให้คำแนะนำเราอยู่แล้ว บางคนคือมีอีโก้ เอาคำว่าอีโก้ออกไปเลย เพราะไม่ได้ทำให้มีอะไรดีขึ้นมา แล้วก็ลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ความรู้ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่แล้ว พยายามเอาเงินเป็นตัวรอง เอางาน ความรู้ความสามารถของเราเป็นตัวตั้ง ถ้าคุณเอาเงินเป็นตัวตั้งคุณซื้อมาขายไปก็จบละ แต่ถ้าคุณเอางานเป็นตัวตั้งมันจะอยู่กับคุณไปจนวันตาย
ล้มได้ก็ลุกได้ หัวใจในการบริหารเรื่องเล่นให้เป็นเรื่องใหญ่
ถผมมองว่าเราไม่ได้เก่งที่สุด ไม่มีใครเก่งไปกว่ากัน ทุกคนเท่าเทียมกันบนโลกใบนี้ คุณล้ม คุณทำยังไงให้คุณลุกให้ทันเขา เริ่มใหม่ให้ทัน อย่าท้อ กล้าเผชิญหน้าอุปสรรคต่าง ๆ แก้ไขปัญหาให้เป็น ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้แหละสำคัญ
สำหรับใครที่อ่านเรื่องราวของคุณจิ๊บแล้วเกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะต่อยอดความฝันของตัวเองให้เป็นจริงขึ้นมา
Krungsri Prime พร้อมเสมอที่จะเคียงข้างทุกก้าวสู่ความสำเร็จและจะนำพาคุณไปให้ไกลยิ่งขึ้นกว่าเดิม