ในยุคที่คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ฝันอยากจะมีธุรกิจเล็ก ๆ เป็นของตัวเองจากไอเดียความชอบหรือความหลงใหลส่วนตัวในเรื่องบางเรื่องและแปรรูปออกมาเป็นธุรกิจที่รัก
ซึ่งการเริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ และต้องจัดการสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองทั้งหมด อาจทำให้เผลอลืมไปว่า การวางแผนบริหารการเงิน บัญชี หรือแม้กระทั่งการวางแผนภาษีนิติบุคคล ต่างก็เป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของธุรกิจทุกขนาดควรให้ความใส่ใจ บทความนี้เราจึงขอหยิบ 5 แนวทางซึ่งว่าที่เจ้าของกิจการสามารถนำไปใช้วางแผนงานและวางแผนภาษี เพื่อเป็นอาวุธนำพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์แบบ
รูปแบบการจดทะเบียนธุรกิจ มีผลต่องานบัญชีและอัตราภาษี
เมื่อเริ่มต้น รูปแบบการ
จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจมีความสำคัญต่อการวางแผนภาษีในอนาคตเป็นอย่างมาก เจ้าของกิจการควรทำความเข้าใจความแตกต่างของการจัดตั้งแบบบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลให้ดี เพราะบริษัทแต่ละประเภทมีระบบการจัดเก็บภาษีที่เจ้าของธุรกิจจำเป็นจะต้องใช้ในการวางแผนภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับบริษัทของตัวเอง โดยการจดทะเบียนบริษัทแต่ละประเภทล้วนมีทั้งข้อดีข้อด้อย การจดทะเบียนแบบนิติบุคคลนั้นอาจมีข้อดีตรงที่ในระยะยาวจะมีอัตราภาษีคงที่มากกว่าแบบบุคคลธรรมดา จึงสะดวกต่อการวางแผนภาษี แต่ขณะเดียวกันก็มีความยุ่งยากในเรื่องการจัดการบัญชี และการจัดทำเอกสารต่าง ๆ เพื่อแสดงต่อกรมสรรพากร
แยกบัญชี - เก็บใบเสร็จ - หาคนคอยดูแลบัญชี
นิติบุคคลส่วนใหญ่เลือกวิธีการที่สะดวกโดยการจ้างนักบัญชีหรือบริษัทดูแลบัญชีที่มีความละเอียด รอบคอบ เข้าใจกฎหมาย และมีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรงมาช่วยดูแล ในขณะที่เจ้าของกิจการเองควรรู้ว่า รายจ่ายส่วนบุคคลและรายจ่ายของบริษัทควรแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง และรายรับรายจ่ายต่าง ๆ ของธุรกิจควรเก็บใบเสร็จเอาไว้ให้ครบถ้วน เพื่อใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการแสดงรายจ่ายต่าง ๆ ของธุรกิจดพราะรายจ่ายบางประเภทสามารถนำมาใช้
ลดหย่อนภาษีได้
ศึกษาเรื่องการเสียภาษีอย่างถูกต้องก่อนเริ่มการวางแผนภาษี
แม้จะมีอัตราการจัดเก็บที่ต่างกัน แต่ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลมีหน้าที่ต้องชำระภาษีตามกำหนด ซึ่งจะมี
ภาษีอยู่ 5 ประเภทที่แวะเวียนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจที่เจ้าของกิจการควรต้องรู้จักและทำความเข้าใจเมื่อเริ่มต้นการวางแผนภาษี คือ
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือ ภงด. 50 และ ภงด. 51 เป็นรายจ่ายที่นิติบุคคลทั้งหมดมีหน้าที่ต้องจ่าย
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือภาษีที่ถูกหักไว้ล่วงหน้า ซึ่งภาษีประเภทนี้ สามารถขอคืนได้ภายหลังผ่านการขอลดหย่อนตามเงื่อนไขต่าง ๆ
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่เก็บจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากเจ้าของกิจการ หรือธุรกิจให้บริการประเภทต่าง ๆ
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีประเภทนี้มีการจัดเก็บเฉพาะบางธุรกิจที่กฎหมายกำหนดเอาไว้พิเศษ เช่น ธนาคาร หรือ อสังหาริมทรัพย์
- อากรแสตมป์ เป็นเงินจำนวนไม่มากคล้ายกับค่าธรรมเนียม ที่เรียกเก็บในการทำตราสารระหว่างกัน 28 ลักษณะ ตามที่สรรพากรระบุไว้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุค 4.0 นี้ยังมี
บริการสั่งจ่ายภาษีทางอินเทอร์เน็ต (Krungsri E-tax) ง่ายๆ เพียงดำเนินการผ่านระบบ e-Revenue ของกรมสรรพากร และนำรหัสมาชำระผ่าน Krungsri CashLink ช่วยเพิ่มความสะดวกในการวางแผนภาษีมากยิ่งขึ้น เปลี่ยนปัญหาน่าปวดหัวทั้งเรื่องการเดินทางและการบริหารเวลาให้กลายเป็นเรื่องง่ายในทันที
หาช่องทางการลดหย่อนภาษีที่เหมาะสมกับธุรกิจ
จากนโยบายของภาครัฐที่เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจ SMEs โดยให้สิทธิในการหักลดหย่อน ไม่ว่าจะมาจากค่าวิจัยและพัฒนา ค่าฝึกอบรมพนักงาน ค่าประกันภัยและค่าประกันชีวิตพนักงาน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สามารถนำหลักฐานมาแสดงในการขอลดหย่อนภาษี ธุรกิจ SME ได้ทั้งสิ้น หากเจ้าของกิจการทำการวางแผนภาษีอย่างครบถ้วน แน่นอนว่าผู้ประกอบการรายนั้นย่อมสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้อย่างคุ้มค่าอย่างแน่นอน
เหตุไม่คาดฝันและแนวทางแก้ไข
แน่นอนว่าการดำเนินธุรกิจ มักมีปัญหาทั้งเล็กใหญ่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่จำไว้ว่าหากเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับระบบบัญชีและการวางแผนภาษีขึ้นมาล่ะก็ คุณไม่ควรลังเลที่จะขอคำปรึกษาจากหน่วยงานรัฐอย่างกรมสรรพากรโดยตรง เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขที่ถูกต้อง ตรงจุดที่สุด เพราะมีหลายครั้งที่ SMEs หรือ Start up หน้าใหม่ ตีความทางกฎหมายแบบผิดๆ จนส่งผลให้เกิดปัญหาต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคตได้