อาจเพราะความชัดเจนของภาพเจ้าพ่อดิสโก้เมืองไทย และนักร้องนำแห่งวงกรู๊ฟ ไรเดอร์ส (Groove Riders) จึงทำให้น้อยคนรู้ว่า 'บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์' คือคลื่นลูกใหม่ของนักธุรกิจไทยที่น่าจับตาไม่น้อยเลยทีเดียว ในบทบาทของการบริหารธุรกิจบริการที่เขารักให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคได้เสมอมา
บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์
นักร้องนำวง Groove Riders และนักธุรกิจ
โดยปกติ หากเอ่ยชื่อบุรินทร์ คนส่วนใหญ่มักคิดถึงบทบาทนักร้องมาดเท่ เสียงดี มีสไตล์ แต่ความจริงแล้วอาชีพนักร้องเป็น Passion และงานอดิเรกที่สามารถสร้างรายได้จนกลายมาเป็นอีกหนึ่งอาชีพให้เขา เพราะบุรินทร์เติบโตมากับวงการธุรกิจรถยนต์จวบจนจบปริญญาโท และเริ่มปริญญาชีวิต เขาก็ยังโลดแล่นอยู่ในสายงานเดิมไม่แปรเปลี่ยน อีกทั้งปัจจุบันยังได้ก้าวขึ้นมานั่งเป็นหัวเรือใหญ่ของธุรกิจรถหรูเมอร์ซิเดส เบนซ์ แห่งบริษัท เมโทร ออโต้เฮ้าส์ จำกัด อีกด้วย
ล่าสุด เส้นทางชีวิตของบุรินทร์กำลังทวีคูณความร้อนแรงขึ้นอีกครั้งกับธุรกิจ Lifestyle อย่าง The Grove คอมมูนิตี้มอลล์ชื่อดังย่านหทัยราษฎร์ ที่เจ้าตัวเอ่ยว่าทุ่มสุดตัวสุดใจ เก็บทุกรายละเอียดเพื่อให้ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองอย่างแท้จริง
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ก้าวจากศิลปินไปเป็นนักธุรกิจเกิดขึ้นได้อย่างไร?
คุณบุรินทร์: จริง ๆ ผมจบการศึกษาด้านธุรกิจมาอยู่แล้วทั้งปริญญาตรีและโท โดยแรกเริ่มผมไม่ได้เป็นนักร้องอย่างเดียว ผมทำอาชีพนักธุรกิจควบคู่มาตลอด ซึ่งงานหลักจะทำอยู่ในบริษัทครอบครัวเกี่ยวกับรถยนต์ ตอนนั้นเราเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้า (Toyota) แต่ปัจจุบันผมเป็นผู้บริหารของบริษัท เมโทร ออโต้เฮ้าส์ จำกัด (Metro Autohaus) ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เมอร์ซิเดส เบนซ์ (Mercedes Benz) และอีกตำแหน่งอยู่กับบริษัท เมโทร ฮอนด้า ออโตโมบิล จำกัด (Metro Honda Automobile) เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้า (Honda)
“ผมทำอาชีพนักธุรกิจมาตลอด นักร้องถือเป็นงานอดิเรกที่กลายมาเป็นอาชีพจริงได้อีกอันหนึ่งเท่านั้นเอง”
ส่วนปีนี้ ผมก็เริ่มหันมาทำธุรกิจใหม่เกี่ยวกับ Lifestyle และ Development ดูแลคอมมูนิตี้มอลล์ชื่อ The Grove เริ่มเปิดมาประมาณ 4-5 เดือนแล้ว ภายในเป็นแหล่งรวม Lifestyle แบบครบวงจร เช่น ร้านอาหาร และงานบริการต่าง ๆ
ด้วยการบริหารที่แตกต่างของแต่ละธุรกิจ คิดว่ามันมีความยากง่ายอย่างไร มีแนวคิดอะไรที่ใช้ร่วมกัน
คุณบุรินทร์: ด้วยสิ่งที่เรียนมาตรงกับสายงานนี้ จึงทำให้ผมมองว่า ‘การบริการ’ เป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่ในหลักเกณฑ์ของทุกธุรกิจ หรือแม้แต่อาชีพนักร้องเองก็ตาม เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตก็คือการบริการ เราต้องทำให้ลูกค้าประทับใจมากที่สุด ดีที่สุด และแตกต่างมากที่สุด ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่เรามุ่งเน้นมาตลอดในทุกสายงาน
เน้นที่การบริการใช่ไหม?
คุณบุรินทร์: ถูกต้องครับ อย่างเราขายรถยนต์ พอขายเสร็จก็ต้องคิดต่อว่าจะทำอย่างไรให้ตัวแทนจำหน่ายของเราแตกต่างจากที่อื่น ซึ่งอย่างแรกคือบริการให้ดีที่สุด แตกต่างที่สุด โดยการสร้างบริการใหม่ ๆ ไม่หยุดพัฒนาองค์กรของตัวเอง และพัฒนาบุคลากรไปเรื่อย ๆ
ประสบการณ์ตอนเผชิญปัญหาใหญ่ ๆ แล้วก้าวผ่านมาได้อย่างไร?
คุณบุรินทร์: ผมว่าผมมีทีมงานที่ดี ทุก ๆ ครั้งที่เราเจอปัญหาก็จะประชุม ปรึกษา แก้ไข และพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ที่คิดว่าเป็นข้อด้อยของบริษัทไปด้วยกัน แล้วทำให้มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ลองยกตัวอย่างวิธีรับมือเมื่อลูกค้าร้องเรียน
คุณบุรินทร์: โดยส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และความปลอดภัย เพราะบางทีรถออกไปแล้วมีอะไหล่บางตัวชำรุด เราก็ต้องคิดวิธีเพื่อทำให้ลูกค้ากลับไปอย่างพึงพอใจสินค้าและบริการมากที่สุด ซึ่งวิธีแรก คือ การแก้ปัญหาให้สำเร็จลุล่วงให้ได้ และวิธีถัดมา คือ การพัฒนาเรื่องการพูดจาของบุคลากรในบริษัท เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจ หรือแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที และใช้เวลาสั้นที่สุด
“ผมคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่เปิดบริษัทมาแล้วสามารถผ่านลุล่วงไปได้ด้วยดีนั้น เพียงแค่เราสื่อสารกับลูกค้าให้ชัดเจน พร้อมแก้ไขปัญหา และยืนจุดกึ่งกลางเพื่อสร้างความสุขให้กับทั้งสองฝ่าย”
อะไรคือความท้าทายเมื่อต้องมาจับธุรกิจใหม่
คุณบุรินทร์: ปัจจุบันโลกเป็นดิจิทัล ซึ่งมันเปลี่ยนเร็วมาก ฉะนั้นต้องทันเกมตลาด เราต้องเข้าใจลูกค้า ศึกษาลูกค้า ศึกษาตลาด ก้าวให้ทันผู้บริโภค จากนั้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง
The Grove – Lifestyle Neighborhood
ย่านหทัยราษฎร์
ทำไมคุณถึงหันมาสนใจธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงในปัจจุบัน
คุณบุรินทร์: ผมมองว่าพื้นที่ย่านนั้นมีหมู่บ้านหนาแน่นมาก ๆ แต่แทบจะไม่มีคอมมูนิตี้มอลล์อยู่เลยในระยะ 10 กิโลเมตร ประจวบกับการมีที่ดินอยู่แล้ว เราจึงนำมาต่อยอดพัฒนาให้มีมูลค่ามากขึ้น
เอกลักษณ์ของ The Grove เมื่อเทียบกับคอมมูนิตี้มอลล์รายอื่นคืออะไร?
คุณบุรินทร์: ผมมองว่าอย่างแรก คือ แนวคิด (Concept) และเรื่องราว (Theme) ของมอลล์เรา หลายที่เขามีจุดเด่นเป็นเมืองญี่ปุ่นบ้าง หรืออังกฤษบ้าง แต่เราเล็งเห็นว่าสิ่งคนที่คนเมืองขาด คือ สวน ธรรมชาติ และความร่มรื่น เราจึงนำสิ่งนี้มาเป็นแนวคิดของคอมมูนิตี้มอลล์ ภายใต้ชื่อ The Grove ที่แทนความหมายของกลุ่มต้นไม้ เพราะเราอยากให้คนละแวกหทัยราษฎร์ มองว่าโครงการนี้เป็นสวนหลังบ้านของชุมชนเขา
ช่วยเล่ารายละเอียดของโครงการให้ฟังหน่อย
คุณบุรินทร์: เราขอเรียกตัวเองว่า ‘Lifestyle Neighborhood’ พื้นที่สำหรับเสพ Lifestyle ซึ่งเราเป็นที่แรกของเขตนี้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือครอบครัว มีตั้งแต่ครอบครัวเบื้องต้น ครอบครัวใหม่ ๆ ไปจนถึงครอบครัวที่มีทั้ง 3 เจเนอเรชั่น
นอกจากนี้ เรายังได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาตลอด 5 เดือน แม้ยังไม่ได้ทำ Grand Opening เลยก็ตาม เราขายพื้นที่ไปแล้วกว่า 85% ทั้งยังมี Max Value เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตพาร์ตเนอร์ และเขาจะบริหารผ่านโมเดลใหม่ที่มีรูปแบบสวยงามที่สุดบนพื้นที่ขนาดใหญ่ถึง 2,000 ตารางเมตร มีร้านอาหาร ร้านเสริมสวย ร้านจำหน่ายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง สปา โรงเรียนสอนโยคะ และร้านอาหารที่ผมบริหารเองด้วยอีกจำนวน 2 ร้าน คือ Shab Shab Shabu และ Lambic Eatery
เป็นอีกหนึ่งธุรกิจใช่หรือเปล่า?
คุณบุรินทร์: ใช่ครับ เนื่องจากยังเล่าไม่หมดว่าธุรกิจในปีนี้มีเกี่ยวกับ SME ด้วย คือ 2 ธุรกิจร้านอาหารกับอีกหนึ่งบริษัทรับจัดเลี้ยง (Catering) ซึ่งร้านแรกก็อย่างที่บอก เป็นร้านชาบูชื่อ ‘Shab Shab Shabu’ สามารถดูข้อมูลได้จาก Instagram และ Facebook ส่วนอีกร้านหนึ่งเป็นร้านอาหารนานาชาติ (International food) ชื่อ Lambic เปิดมาเกือบสองเดือนแล้ว ซึ่งกระแสตอบรับดีมาก ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ต้องรอคิว
Shab Shab Shabu ธุรกิจร้านอาหารของคุณบุรินทร์
ตอนนี้มีทั้งหมดกี่สาขา?
คุณบุรินทร์: เริ่มที่ The Grove ที่แรกเลยครับ แต่ในอนาคตผมวางแผนจะทำบริษัทอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) ที่มีสาขามากมาย และเจริญเติบโตได้เรื่อย ๆ เพราะการทำงานของผม นอกจากเรื่องรถยนต์และดนตรี อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบก็คือเรื่องอาหารครับ
คอมมูนิตี้มอลล์นี้เกิดขึ้นมารองรับธุรกิจร้านอาหารคุณด้วยหรือเปล่า?
คุณบุรินทร์: ไม่ครับ เพราะร้านอาหารเข้ามาเพื่อสร้างความครึกครื้นให้กับคอมมูนิตี้มอลล์ แต่ผมเป็นคนออกแบบร้านอาหารเองทั้งหมด ฉะนั้นเลยอยากทำให้ร้านที่มีตัวตนของผม (Character) เกิดขึ้นในมอลล์ของผม พร้อมวางความเป็นตัวตนของมอลล์นี้ให้แตกต่างจากมอลล์อื่น
Lambic Eatery ธุรกิจร้านอาหารของคุณบุรินทร์
มีการวางแผนการเจริญเติบโตของ The Grove ในระยะยาวบ้างไหม?
คุณบุรินทร์: ผมมีแผนการตลาดที่รองรับเกี่ยวกับเรื่อง Lifestyle ทั้งหมด รวมถึงตัวเราก็ต้องมุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง ผลักดันให้มีผลิตภัณฑ์ หรือร้านค้าใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอ อีกทั้งเราจะจัดกิจกรรมในทุกเทศกาล ซึ่งจะทำร่วมกับชุมชนในละแวกนั้นทั้งหมด เพราะย่านนั้นมีโรงเรียนและมหาวิทยาลัยอยู่ค่อนข้างมากอีกด้วย ผมจึงอยากให้ The Grove เปรียบเหมือนสวนหลังบ้านของทุกคน เราอยากสร้างความสุขให้คนในย่านนั้นจริง ๆ ไม่ว่าจะเข้ามาเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจ หรือมีความสุขกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่เรามอบให้ รวมถึงตอนนี้เรากำลังจะเปิดเฟส 2 บนพื้นที่ 7.5 ไร่ ซึ่งคิดว่าน่าจะเพิ่มการบริการให้ลูกค้าได้ครบวงจรมากยิ่งขึ้นด้วย
คิดว่าธุรกิจต่อไปจะเกี่ยวกับงานบริการอีกไหม?
คุณบุรินทร์: ยังไม่สามารถบอกได้ครับ ปัจจุบันก็ทำอยู่หลายอาชีพ (หัวเราะ) และอยากทำสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ให้ดีที่สุดก่อน อย่างตัวธุรกิจรถยนต์ เรามีประสบการณ์ในครอบครัวมา 80 ปี ตั้งแต่รุ่นคุณปู่ผม ซึ่งผมเป็นรุ่นที่สามแล้ว แต่ธุรกิจใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นมา ผมคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ใหม่ ๆ ซึ่งถามว่าเรารู้ลึกหรือยัง ผมว่ายัง เราเลยต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์และความรู้ เพื่อพัฒนาไปเรื่อย ๆ
เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล ในฐานะที่คุณเป็นนักธุรกิจ คุณต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง?
คุณบุรินทร์: เราก็ต้องพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ โดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคน Customer Centric (การรู้จักและเข้าใจความรู้สึกของลูกค้า) อยู่แล้วด้วย เลยยิ่งต้องมุ่งมั่นพัฒนามากขึ้น
แล้วด้านการสื่อสารการตลาดมีเปลี่ยนแปลงไหม?
คุณบุรินทร์: ตอนนี้เรามีแผนก Digital Marketing เกิดขึ้นมาในองค์กร ถือเป็นหน่วยงานที่ดูแลสนับสนุนทั้งบริษัท และตัวผมเองก็ไปเรียนรู้ด้าน Digital Marketing เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์มาก มันช่วยประหยัดเวลาการทำตลาด มันสามารถกำหนดขอบเขตกลุ่มคน และสามารถเข้าถึงลูกค้าแบบตัวต่อตัวผ่านทาง Social Network ต่าง ๆ ได้
การขึ้นมายืนที่จุดนี้ถือว่าคุณประสบความสำเร็จในบทบาทนักธุรกิจแล้วหรือยัง?
คุณบุรินทร์: ผมไม่เคยรู้สึกว่าประสบความสำเร็จ มันเป็นการเริ่มต้นที่มีความสุขมากกว่า แต่ก็ต้องทำให้ตัวเองเดินหน้าอยู่เรื่อย ๆ หาธุรกิจและโอกาสใหม่ ๆ เพื่อทำให้ลูกค้ามีความสุขมากที่สุด เพราะการอยู่นิ่ง ๆ คือการหันหลังไปเรื่อย ๆ ครับ
อยากให้แนะนำคนที่สนใจทำธุรกิจส่วนตัวว่าควรวางแผนอย่างไรเพื่อให้เติบโตได้อย่างมีศักยภาพ
คุณบุรินทร์: มันอาจจะไม่ใช่การแนะนำ แต่ขอพูดจากบทเรียน (Case Study) ของตัวเองแล้วกัน ผมเป็นคนเลือกทำงานที่ผมรักเท่านั้น ถ้าไม่มีความรัก ความชอบ หรือแพสชั่น ผมเลือกที่จะไม่ทำ เพราะไม่มีแรงผลักดัน ไม่อยากค้นคว้าและไม่อยากทะนุถนอม
อย่างไรก็ตาม หากเป็นความรัก เราจะใส่ใจและพัฒนาตัวเองเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนถ้าเป็นรักแบบแป๊บ ๆ แล้วเบื่อ ธุรกิจจะไม่สามารถเดินหน้าต่อได้เช่นกัน และพอถึงจุดหนึ่งที่คิดว่าประสบความสำเร็จแล้ว เราจะปล่อยมันทิ้งไป มันจะกลายเป็นปัญหาตามมาอีก พูดง่าย ๆ ว่าธุรกิจเปรียบเหมือนการเลี้ยงลูกครับ เราจะปลูกฝังอะไรให้ลูก เราจะทำอย่างไรให้เขาเติบโตได้อย่างมีคุณภาพและเป็นคนที่ดีที่สุด
สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้คงสัมผัสได้ถึง Passion อันเข้มข้นในการทำธุรกิจบริการของคุณบุรินทร์ ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่า Passion นั้นคือสิ่งสำคัญในการเริ่มต้นทำธุรกิจ ไม่ว่าจะในธุรกิจไหนก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจบริการ เพราะมันจะเป็นเหมือนฟันเฟืองขับเคลื่อนให้เจ้าของธุรกิจไม่หยุดคิด ไม่หยุดที่จะพัฒนาสินค้าหรือบริการที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภค เช่นเดียวกับที่
Krungsri Exclusive Signature คัดสรรเอกสิทธิ์อันเหนือระดับและดีที่สุดในทุกแง่มุมของชีวิตให้ผู้ถือบัตรเสมอมา