MISTINE เครื่องสำอางที่อยู่คู่คนไทยมายาวนานกว่า 37 ปี ด้วยสินค้าคุณภาพที่มีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ประกอบกับกลยุทธ์การตลาดที่โดดเด่น จึงส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตและได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในตลาดจีนที่ MISTINE ลุยตลาดได้ไม่นานก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก การันตีด้วยรางวัลมากมาย พร้อมสร้างยอดขายในปี 2561 มูลค่ารวม 3 พันล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 4 พันล้านในปี 2562 เลยทีเดียว ซึ่ง MISTINE มีกลยุทธ์การตลาดอะไรบ้างที่สามารถทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จในประเทศจีนขนาดนี้ วันนี้น้องเพลินเพลินจะพาไปหาคำตอบกัน
แต่ก่อนที่เราจะไปดูกลยุทธ์การตลาดที่ MISTINE ใช้ในการลุยตลาดจีนกันนั้น เราขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับจุดเริ่มต้นในการสร้างแบรนด์ของ MISTINE กันก่อน
จุดเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์ MISTINE
MISTINE ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2531 โดยราชาขายตรงของเมืองไทย ดร.อมรเทพ ดีโรจนวงศ์ ในนามบริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีเจตนารมณ์ในการก่อตั้งบริษัทเพื่อสร้างสรรค์ชีวิตที่ดีขึ้นให้กับคนไทยทั่วประเทศผ่านธุรกิจระบบขายตรงของคนไทย โดยในยุคแรก MISTINE ได้ใช้กลยุทธ์การตลาดจากการสร้างสโลแกน ‘นิ้ง..หน่อง มิสทินมาแล้วค่ะ’ ที่เป็นที่จดจำกันมาถึงทุกวันนี้ โดยเสนอขายสินค้าผ่านแค็ตตาล็อกด้วยระบบการสั่งซื้อ จัดส่ง และการชำระเงิน ที่รวดเร็ว มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ ด้วยจำนวนสมาชิกมากกว่า 1,000,000 คน เพื่อช่วยกระจายรายได้และมอบโอกาสให้กับสมาชิกได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จนต่อมา MISTINE ก็ได้มีการปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มช่องทางการขายใหม่ ๆ ให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าปัจจุบันได้ง่ายมากขึ้น
โดยการปรับ
กลยุทธ์การตลาดเพื่อมองหาช่องทางการขายใหม่ ๆ ซึ่งไม่เพียงทำแค่ในไทยเท่านั้น แต่ MISTINE ยังมองเห็นโอกาสใหม่ ๆ เดินหน้าลุยตลาดจีนแบบเต็มตัว จนปัจจุบันนับได้ว่าเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยก่อนที่จะไปดูกลยุทธ์ความสำเร็จกันนั้น เราขอทุกคนไปดูเส้นทางการลุยตลาดจีนของ MISTINE กันก่อน
เส้นทางการลุยตลาดจีน
โดยเริ่มแรกสินค้าของ MISTINE ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย จากการซื้อสินค้ากลับประเทศเพื่อเป็นของฝากให้กับคนที่บ้าน จน MISTINE เริ่มเป็นที่รู้จักในประเทศจีนมากขึ้น ถึงขนาดที่ว่า MISTINE กลายเป็นสินค้าท็อปลิสต์ 1 ใน 10 ของสินค้ากลุ่มความงามที่นักท่องเที่ยวจีนจะต้องซื้อกลับไปเป็นของฝากเลยทีเดียว
และด้วยความนิยมของคนจีนทำให้ในปี 2016 ทาง MISTINE ตัดสินใจเข้าไปทำการตลาดในประเทศจีนด้วยการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและเปิดตลาดขายสินค้าผ่านช่องทางการตลาดต่าง ๆ แบบจริงจัง โดยการร่วมลงทุนกับพันธมิตรในประเทศจีนเพื่อจัดตั้งบริษัท Better Way Shenzhen ประเทศจีนขึ้นมา โดยใช้ระยะเวลาเพียงสองปี MISTINE ก็สามารถทำยอดขายได้มากกว่า 1 พันล้านหยวน ซึ่งยอดขายนี้ยังคงมีแนวเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แม้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 อุตสาหกรรมความงามของจีนโดยรวมจะประสบปัญหา แต่ MISTINE กลับมีอัตราการเติบโตปีต่อปีสูงถึงร้อยละ 44 จึงนับได้ว่า MISTINE การลุยตลาดในประเทศจีนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
โดยการที่ MISTINE บุกตลาดจีนจนประสบความสำเร็จนั้น ล้วนมีการวางแผนกลยุทธ์การตลาดมาอย่างดี ซึ่งจะมีกลยุทธ์การตลาดอะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปถอดบทเรียนจากธุรกิจนี้กัน
Tips by น้องเพลินเพลิน : 4 กลยุทธ์การตลาด MISTINE ลุยตลาดจีนได้สำเร็จ
1. เลือกทีมงานที่มีประสบการณ์ในตลาดประเทศจีน
MISTINE มีทีมงานในประเทศจีนที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมความงามของจีนมามากกว่า 20 ปี ซึ่งจะรู้ความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนเป็นอย่างดี ว่าชาวจีนจะต้องการผลิตภัณฑ์ความงามแบบไหน โดยทีมงานได้เริ่มทำการสร้างแบรนด์และวางกลยุทธ์การตลาดด้วยการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ทันสมัยให้เข้ากับตลาดจีนมากขึ้นด้วย
2. มีผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของตลาดจีน
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอากาศร้อนมาก ทำให้ MISTINE ที่เป็นแบรนด์ของประเทศไทยนั้น มีความเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถกันน้ำ กันเหงื่อได้ จึงทำให้ผู้บริโภคชาวจีนมีความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดของ MISTINE เป็นอย่างมาก ซึ่ง MISTINE เองก็ได้มีการปรับสูตรให้เหมาะสำหรับผู้บริโภคชาวจีน จนส่งผลให้ครีมกันแดดมียอดขายถึง 16.7 พันล้านหยวนในปี 2564 เลยทีเดียว
นอกจากนี้ MISTINE ยังมีความได้เปรียบในการแข่งขันในด้านราคา เนื่องจากทั่วไปแล้วผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีราคาต่ำกว่า 100 หยวนจีน/หน่วย ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดนำเข้าส่วนใหญ่มีราคาสูงกว่า 100 หยวนจีน หรือแม้กระทั่ง 200 หยวนจีน
ซึ่งด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้จึงทำให้ครีมกันแดดของ MISTINE มีประสิทธิภาพสูง คุณภาพคุ้มราคา ทำให้สินค้าได้รับความนิยมอย่างมากและตรงกับความต้องการของคนจีน นอกจากนี้ เมื่อผู้บริโภคชาวจีนเปิดใจใช้ผลิตภัณฑ์ของ MISTINE แล้วเกิดความรู้สึกติดใจ ก็มีโอกาสเปิดใจกับผลิตภัณฑ์ที่มีจุดเด่นคล้าย ๆ กัน เช่น เบส รองพื้น คุชชั่น คอนซิลเลอร์ และแป้ง ได้อีกด้วย
3. มีห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง
MISTINE ประเทศไทยเองมีประสบการณ์การผลิตเครื่องสำอางมาอย่างยาวนาน มีโรงงาน OEM ขนาดใหญ่ที่มีกำลังการผลิตสูง สามารถผลิตสินค้ามีที่คุณภาพและได้รับมาตรฐานสากล MISTINE มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของ MISTINE นอกจากนี้ MISTINE ยังมีจุดขนถ่ายสินค้าของตัวเองที่มีพื้นที่กว่า 50,000 ตารางเมตร มีโกดังเก็บสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ ทำให้สามารถขนถ่ายสินค้าได้มากกว่า 85,000 ชิ้นต่อวัน เรียกว่าตอบสนองความต้องการได้ทั้งในไทยและต่างประเทศ
ส่วนบริษัทผู้ร่วมลงทุนกับ MISTINE ในประเทศจีนที่ก่อตั้งโดย Zhuang Baoxia ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ด้านอุตสาหกรรมเครื่องสำอางกว่า 20 ปี ในบริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่อย่าง L’OREAL และ Yu Yu ผู้ที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตกว่า 10 ปี จึงทำให้ MISTINE เข้าไปตีตลาดอีคอมเมิร์ซจีน สามารถทำยอดขายถล่มทลายได้ไม่ยาก
4. มีช่องทางการตลาดที่หลากหลาย
โดย Mistine ได้เปิดขายผ่านช่องทาง
อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ เช่น Tmall Global, JD, VIP, Koala, Red Book, Kuaishou, TikTok China, Youzan, Daling Family, Jubei และ Miya ส่วนด้านออฟไลน์บริษัทมีการจําหน่ายผ่านร้านค้ามากกว่า 3,800 แห่งในจีน เช่น 7-Eleven, FamilyMart, Sanfu และ Afiona และมีแผนจะขยายธุรกิจไปถึงเซี่ยงไฮ้ กวางโจว และเซินเจิ้น โดยตั้งเป้าหมายที่จะติดอันดับหนึ่งในห้าแบรนด์ความงามระดับภูมิภาคเอเชียในอนาคต
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การตลาดที่ทำให้ MISTINE ลุยตลาดจีนได้สำเร็จและสร้างผลตอบแทนได้เติบโตแบบก้าวกระโดดที่เราพาไปส่องกันมาเป็นเพียงบทวิเคราะห์ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่การสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จทั้งในและต่างประเทศยังมีเรื่องให้เราศึกษาได้อีกหลายแง่มุม และที่สำคัญธุรกิจที่เหมาะกับเราที่สุดยังคงเป็นสิ่งที่เราชอบและตั้งใจทำเสมอ