ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเนื่องมาจากการใช้พลังงานน้ำมัน หรือถ่านหิน ทำให้ฝุ่นละออง ทำให้หลายประเทศหันมาสนใจพลังงานสะอาดอย่างพลังงานไฟฟ้า อย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา จีน หรืออังกฤษ รวมถึงในบ้านเราก็มีหลายค่ายรถยนต์เริ่มมองตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น ไม่ว่าเป็นรุ่นหรูพรีเมี่ยม หรือรถใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป ก็มีหลายราคาให้เลือกซื้อมากขึ้น จุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้านอกจากลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยังมีค่าบำรุงรักษาที่น้อยกว่ารถยนต์แบบน้ำมัน และในเวลานี้คงมีหลายคนที่อยากเปลี่ยนรถคันเก่าที่บ้าน มาใช้รถยนต์ไฟฟ้า เราต้องรู้อะไรก่อนบ้าง? วันนี้เรามีข้อมูลการเตรียมตัวก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า มาให้คุณได้ตัดสินใจ และเมื่ออ่านจบคุณจะรู้ได้ทันทีเลยว่า รถยนต์ไฟฟ้า นี่ล่ะคืออนาคตของพวกเรา!
รู้จักรถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น
รถยนต์ไฟฟ้า หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า รถ EV (Electric Vehicle) พูดกันง่าย ๆ คือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ลดภาระในการใช้น้ำมัน ทำให้เครื่องยนต์สะอาดอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องมาถ่ายน้ำมันเครื่อง หรือใช้น้ำยาล้างหัวฉีด เพื่อเสริมสมรรถนะ และไม่มีควันดำปล่อยออกมาแบบเดียวกับรถยนต์น้ำมัน และพลังงานที่ใช้ก็ได้มาจากการชาร์จแบบที่เราเสียบชาร์จมือถือในทุก ๆ วัน สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในตอนนี้ มีด้วยกัน 2 ชนิดหลัก ๆ คือ
- แบบ PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า ไฮบริด คือ รถยนต์ที่ทำงานร่วมกันระหว่างน้ำมัน และไฟฟ้า โดยมีที่เสียบชาร์จในตัวโดยจะเก็บไฟฟ้าไว้ในแบตเตอรี่ สามารถเลือกได้ว่าอยากใช้น้ำมัน หรือไฟฟ้า แต่รถยนต์แบบไฮบริด จะมีขนาดแบตเตอรี่ที่น้อยประมาณ 6-14 กิโลวัตต์ ทำให้ระยะทางวิ่งหากใช้ไฟฟ้าวิ่งทำได้ไม่เกิน 50 กิโลเมตร ต่อการชาร์จแบบ 1 ครั้ง เหมาะสำหรับคนที่อยากลองใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า อยากช่วยสิ่งแวดล้อม ในราคาที่จับต้องได้
- แบบ BEV (Battery Electric Vehicle) คือรถยนต์ที่เรากล่าวไปในตอนต้นว่าใช้พลังงานแบบไฟฟ้าล้วน ๆ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาน้ำมัน และเครื่องยนต์แบบในอดีต แต่จะมีแบตเตอรี่เข้ามาแทนที่ จนหลายคนพูดกันว่าเหมือนเป็นรถยนต์ที่ใส่ถ่าน สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ามีขนาดแบตเตอรี่ประมาณ 60-90 กิโลวัตต์ และมีระยะทางวิ่งสูงกว่าแบบไฮบริดอยู่ที่ประมาณ 300-600 กิโลเมตร ต่อการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 1 ครั้ง เหมาะสำหรับคนที่อยากใช้รถจริงจังในชีวิตประจำวัน หรือขับรถท่องเที่ยวข้ามจังหวัดใกล้ ๆ
อยากมีระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบ้าน ต้องรู้เรื่องนี้ก่อน
หากใครเลือกได้แล้วว่าเราอยากได้รถยนต์ไฟฟ้าแบบไหน สิ่งที่สำคัญที่ต้องมีมาพร้อมคือจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งตั้งอยู่บริเวณที่จอดรถภายในบ้าน ต้องวางไว้ไม่เกิน 7 เมตรนับจากตัวเครื่องเสียบชาร์จ และต้องอยู่ในบริเวณที่ไม่มีละอองน้ำฝนเพื่อป้องกันโอกาสเกิดไฟฟ้าลัดวงจร ถ้าอยากประหยัดค่าไฟกว่าเดิม ลองตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า บริเวณตู้เมนไฟฟ้าของบ้าน จะได้ไม่ต้องเสียค่าเดินไฟอีก เมื่อติดตั้งระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเสร็จแล้ว เราสามารถเลือกระดับตู้ชาร์จไฟได้ โดยหลัก ๆ มีด้วยกัน 3 แบบดังนี้
- ตู้ชาร์จแบบธรรมดา เป็นการชาร์จจากเต้ารับโดยตรง จะใช้มิเตอร์ขนาดมาตรฐานที่ 30 (100) A และต้องติดตั้งใหม่โดยเฉพาะใช้สำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น โดยใช้ไฟบ้านที่เป็นวงจรแบบกระแสสลับในการชาร์จหนึ่งครั้ง ใช้เวลาประมาณ 12-16 ชั่วโมงถึงชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็ม 100%
- ตู้ชาร์จแบบรวดเร็ว เป็นการชาร์จโดยตรงจากเครื่อง EV Charger โดยใช้วงจรไฟแบบกระแสสลับ ช่วยให้แบตเตอรี่ของรถยนต์เต็มเร็วมากกว่าแบบธรรมดากว่าครึ่งหนึ่ง โดยใช้เวลาชาร์จจากแบตเตอรี่ 0-100% ในเวลาเพียง 6-8 ชั่วโมงเหมาะมากสำหรับคนที่เลิกงานกลับมาถึงบ้านดึก เสียบชาร์จรถยนต์ไว้ก่อนนอน ตอนเช้าออกจากบ้านก็แบตเตอรี่เต็มพอดี
- ตู้ชาร์จแบบด่วน สำหรับตู้ชาร์จแบบนี้มักเป็นวงจรแบบกระแสตรง เสียบตรงเข้ากับแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจาก 0-80% ใช้เวลาไม่เกิน 60 นาที แต่อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไวกว่าปกติ ตู้ชาร์จแบบนี้ มีราคาที่แพงกว่าปกติ ทำให้ไม่ค่อยนิยมติดไว้ตามบ้านพักอาศัย แต่นิยมตั้งไว้ตามแหล่งท่องเที่ยว เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือปั๊มน้ำมัน
รู้ค่าไฟล่วงหน้าได้ไม่ยากต่อการชาร์จรถไฟฟ้า 1 ครั้ง
เมื่อเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้า สิ่งหนึ่งที่เราควรรู้ไว้คือค่าไฟที่บ้านเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แต่จะมากขึ้นแค่ไหน เรามีสูตรคำนวนง่าย ๆ ดังนี้
ตัวอย่าง : รถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดแบตเตอรี่ 50 กิโลวัตต์ คำนวณจากการชาร์จไฟฟ้าแบบธรรมดาที่บ้าน โดยที่ค่าไฟอยู่ที่ประมาณหน่วยละ 4.2 บาท
1 หน่วย = 1 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ค่าไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์ชั่วโมง = 4.2 บาท
ถ้าเราขับรถยนต์ไฟฟ้าจนแบตเตอรี่เหลือ 0% แล้วชาร์จให้เต็ม 100% คิดง่าย ๆ แบบนี้ เอาขนาดแบตเตอรี่จำนวน 50*4.2 สรุปได้ว่า เราต้องเสียค่าไฟต่อครั้งอยู่ที่ 210 บาท หากเทียบกับการเติมน้ำมันเต็มถังถือว่าถูกกว่ากันหลายเท่าโดยที่การใช้งานเท่ากัน แบบนี้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าประกันกว่าเห็น ๆ
รถยนต์ไฟฟ้าที่น่าสนใจมีรุ่นอะไรบ้าง?
เมื่อเรารู้เรื่องระบบการชาร์จไปแล้วมาดูกันดีกว่าว่าตอนนี้มีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นไหนบ้างที่วางขายในบ้านเราอย่างเป็นทางการ โดยตอนนี้จะมีด้วยกัน 6 รุ่น ตั้งแต่ราคาจับต้องได้จนถึงพรีเมี่ยม มาดูกันเลย
ขอขอบคุณรูปภาพจาก chobrod.com
1. FOMM ONE เป็นรถยนต์ไฟฟ้าในไซซ์มินิมีที่นั่ง 2 ที่ ขนาดแบตเตอรี่ 2.96 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สามารถวิ่งได้สูงสุดเมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มอยู่ที่สูงสุด 160 กิโลเมตร และสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมาะสำหรับใช้งานขับไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน ปัจจุบันมีราคาขายเริ่มต้นที่ 499,999 บาท
ขอขอบคุณรูปภาพจาก headlightmag.com
2. MG EP รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ที่หลายคนนิยมเพราะขนาดตัวเท่ากับรถยนต์แบบปกติ 4 ที่นั่งไซซ์ SUV เหมาะกับครอบครัวที่มีลูก 1-2 คน ตัวรถมีขนาดแบตเตอรี่ที่ 50.3 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สามารถวิ่งได้สูงสุดเมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มอยู่ที่สูงสุด 380 กิโลเมตร สำหรับ MG EP สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะใช้วิ่งไปเที่ยวต่างจังหวัดได้สบาย ๆ ปัจจุบันมีราคาเริ่มต้นที่ 988,000 บาท
ขอขอบคุณรูปภาพจาก headlightmag.com
3. ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดได้ไม่นาน กับรูปลักษณ์ที่โดนใจคนรุ่นใหม่ เหมาะกับหนุ่มสาวออฟฟิศ ใช้ขับกันในเมือง ตัวรถมีขนาดแบตเตอรี่ที่ 47 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สามารถวิ่งได้สูงสุดเมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มอยู่ที่สูงสุด 500 กิโลเมตร ถือว่าสูงมากหากเทียบกับขนาดแบตเตอรี่ สำหรับ ORA Good Cat สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 152 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้แบบสบาย ๆ มั่นใจว่าขับรถออกจากบ้านไปทำงาน กลับถึงบ้านยังเหลือเกินครึ่ง ปัจจุบันมีราคาเริ่มต้นที่ 988,000 บาท
ขอขอบคุณรูปภาพจาก drivingplace.com
4. Nissan Leaf รถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ที่คุ้นเคยอย่าง Nissan ที่เปิดตัวในบ้านเรามาแล้วหลายปี ก็เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดกลางที่อยู่ด้วยกัน 3-5 คน ตัวรถมีขนาดแบตเตอรี่ที่ 40 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สามารถวิ่งได้สูงสุดเมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มอยู่ที่สูงสุด 311 กิโลเมตร อาจน้อยกว่าแบรนด์อื่น ๆ เนื่องจากตัวรถหนัก แต่ Nissan Leaf สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 144 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ใช้พลังงานในการขับเคลื่อนที่สูง ปัจจุบันมีราคาเริ่มต้นที่ 1,490,000 บาท
ขอขอบคุณรูปภาพจาก autospinn.com
5. XC40 Recharge Pure Electric รถยนต์ไฟฟ้าที่เน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษ เพิ่งวางจำหน่ายในบ้านเรา สำหรับ Volvo รุ่นนี้มาในไซซ์ SUV เลยเหมาะกับกลุ่มครอบครัว ตัวรถมีขนาดแบตเตอรี่ที่ 78 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สามารถวิ่งได้สูงสุดเมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มอยู่ที่สูงสุด 400 กิโลเมตร และตัวรถรองรับระบบการชาร์จแบบด่วน ทำให้ขับรถได้ต่อเนื่อง หากต้องเดินทางระยะไกล เช่น ออกทริปต่างจังหวัด สำหรับ XC40 Recharge Pure Electric สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปัจจุบันมีราคาเริ่มต้นที่ 2,590,000 บาท
ขอขอบคุณรูปภาพจาก autospinn.com
6. Porsche Taycan รถยนต์ไฟฟ้าสุดพรีเมี่ยมที่หลายคนมักเรียกกันว่า Porsche รุ่นใส่ถ่าน เหมาะกับคนรักการขับรถสปอร์ตเรียบหรูแต่อยากช่วยรักษ์โลกด้วย ตัวรถมีขนาดแบตเตอรี่ที่ 84 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สามารถวิ่งได้สูงสุดเมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มอยู่ที่สูงสุด 370 กิโลเมตร สำหรับ Porsche Taycan สามารถทำความเร็วได้สูงสุดในบรรดารถยนต์ไฟฟ้าถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถขับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน หรือจอดโชว์ไว้ในบ้านก็สวยงาม ปัจจุบันมีราคาเริ่มต้นที่ 6,190,000 บาท นับเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาสูงที่สุดที่มีขายในบ้านเราตอนนี้
สำหรับเทรนด์ของรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเราตอนนี้เริ่มมีหลายคนให้ความสนใจ และในอีกไม่นานหลายค่ายรถยนต์คงเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น ราคาก็ถูกลง และยิ่งมีหน่วยงานภาครัฐให้การสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า ปัญหาเรื่องสภาพแวดล้อม เช่น
ฝุ่นละออง หรือภาวะโลกร้อนก็เกิดขึ้นได้ช้า หากใครที่กำลังจะตัดสินใจ
ซื้อรถยนต์คันแรก แล้วอยากได้แบบใช้ไฟฟ้าล้วนเลย อาจต้องศึกษาเรื่องที่ชาร์จ และวางแผนการเงินให้ดี ว่าซื้อรถยนต์ไฟฟ้าตอนนี้สำหรับเราคุ้มแล้วหรือยัง