ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา หลายสำนักคาดการณ์ว่า ปี 2559 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตประมาณ 3% สาเหตุมาจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวทำให้การส่งออกติดลบ การลงทุนระบบขนส่งมวลชนของภาครัฐยังไม่คืบหน้า การแก้ปัญหาคอรัปชั่นยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร ปัญหาภัยแล้งและหนี้ภาคครัวเรือนสูงฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย
หน่วยเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างธนาคารก็ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ เพราะเคยมีบทเรียนที่ขมขื่นตอนวิกฤติปี 2540 ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็ชะลอการเปิดโครงการใหม่รอดูสถานการณ์ เหลือเพียงตลาดอสังหาฯระดับบนที่ยังมีกำลังซื้อดีอยู่ ภาคธุรกิจค้าปลีกแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่ยอดขายก็โตไม่มาก การขยายสาขาใหม่เพิ่มไม่เยอะเหมือนสมัยก่อน
สถานการณ์แบบนี้
ธุรกิจ SME เหนื่อยครับ ด้านลูกค้ากำลังซื้อหดหายไป ด้านคู่แข่งสู้กับรายใหญ่ลำบาก ด้านเงินทุนขอสินเชื่อยาก ด้านเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคขึ้นอยู่กับความพร้อมในการปรับตัว ผมคิดว่า ธุรกิจ SME ต้องทำการบ้านหนักหน่อยช่วงนี้ในการวางแผนหารายได้และทำกำไรให้ถึงเป้า แล้วยังต้องดูแลเรื่องสภาพคล่องทางการเงินไปพร้อมกัน
อีกด้านหนึ่งธุรกิจ SME ประสบความสำเร็จอย่างมโหฬารเป็นอายุน้อยร้อยล้านอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นแบบอย่างมากมาย จนหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าความสำเร็จสมัยนี้ง่ายกว่าสมัยก่อน ทั้งที่อีกด้านหนึ่งธุรกิจ SME จำนวนมากยังคงล้มเหลวอยู่เช่นเดิม อาจเป็นเพราะยังวางแผนไม่ดี ขาดประสบการณ์ หรือเจอคู่แข่งแข็งแกร่งกว่า ฉะนั้น ผมอยากให้เจ้าของธุรกิจ SME ศึกษาวิธีคิดของคนที่ประสบความสำเร็จนำมาเป็นแบบอย่างและมุ่งพัฒนาสินค้าของตนแก้ไขปัญหาในชีวิตของลูกค้า
ธุรกิจ SME มีทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดาถือเป็นรสชาติของชีวิต แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเช่นนี้เสมอ ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงได้ คนที่สำเร็จหากไม่ระวังก็อาจเพลี่ยงพล้ำได้ คนที่ล้มเหลวหากเรียนรู้จากความผิดพลาดก็สำเร็จได้ครับ หลายตัวอย่างในสังคมคนที่ประสบความสำเร็จสูงล้วนผ่านความล้มเหลวเจ็บหนักกันมาก่อน
เพราะในชีวิตจริงการเดินทางไปสู่เป้าหมายไม่ได้เป็นเส้นตรง ต้องเลี้ยวผ่านทางราบเรียบบ้าง ทางขรุขระบ้าง
ขณะที่เศรษฐกิจภาพรวมชะลอตัวแต่มีธุรกิจกลุ่มหนึ่งเติบโตสวนกระแสนั่นคือ
“ธุรกิจออนไลน์” ที่มีอัตราการเติบโตสูงติดต่อกันหลายปี เทรนด์ลูกค้าเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมมาซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนอนาคตอาจได้เห็นธุรกิจออนไลน์มีขนาดเท่ากับธุรกิจออฟไลน์ ผมก็เป็นตัวอย่างหนึ่งเมื่อ 3 ปีก่อนยังไม่สนใจใช้โซเซียลมีเดีย และซื้อสินค้าออนไลน์ แต่พอได้ศึกษาอย่างจริงจังพบว่า มันเจ๋งมาก ปัจจุบันจึงใช้ตลอดและมียอดซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านบัตรเครดิตมากกว่าออฟไลน์ไปแล้ว ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ผมซื้อกองทุนรวมผ่านเว็บไซต์
Krungsri Asset ซื้อสินค้าเข้าบ้านผ่านแอปฯ
Lazada และ
Tesco Lotus Online เรียกรถแท็กซี่ผ่านแอปฯ
Uber และ
Grab โฆษณาประชาสัมพันธ์เพจส่วนตัวผ่าน
Facebook เป็นต้น
ผมสนับสนุนให้เจ้าของธุรกิจ SME หันมาลองทำการตลาดผ่านสื่อออนไลน์กันมากขึ้น เพราะเป็นช่องทางที่ทรงประสิทธิภาพ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วทุกมุมโลก ทำการตลาดได้ทั้งแบบกลุ่มและรายบุคคลเพื่อเสนอสินค้าที่ตรงความต้องการมากที่สุด ใช้เงินลงทุนน้อยและคุ้มค่ากว่าการตลาดแบบเดิม ๆ ขายสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่จำเป็นต้องหยุด การทำการตลาดผ่าน Social Media ที่นิยมได้แก่
Facebook,
Line,
Instagram,
Youtube หรือขายสินค้าผ่าน eCommerce ที่นิยมได้แก่
Lazada,
We Love Shopping,
Tarad,
Ensogo ซึ่งไม่จำเป็นต้องลงครบทุกช่องทาง ควรศึกษาแล้วเลือกช่องทางที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ หลายธุรกิจขายสินค้าผ่าน Facebook อย่างเดียวก็ผลิตแทบไม่ทันแล้ว เพราะคนไทยนิยมใช้ Facebook มากที่สุดและใช้ทั้งวันตั้งแต่ตื่นเช้ายันเข้านอน อย่างธุรกิจขายอาหารทะเลแบบส่งถึงบ้านผ่านทาง Facebook ขายดิบขายดีจนเป็นอายุน้อยร้อยล้านเลยทีเดียว ผมคิดว่า แทบทุกธุรกิจสามารถทำการตลาดออนไลน์ได้ แต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าของธุรกิจมองเห็นโอกาสนั้นแล้วลงมือทำจริงให้สำเร็จ
สุดท้ายนี้ใครที่ท้อใจในการทำธุรกิจ ให้เอาเวลามาคิดทบทวนเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสดูนะครับ ทุกคนมีปัญหาในชีวิตแตกต่างกันไป ปัญหามีไว้แก้ไม่ใช่มีไว้กลุ้ม ขอให้โชคดีครับ