บัตรเครดิตคือผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทหนึ่งที่ทางธนาคารออกให้กับผู้ถือบัตรเพื่อนำไปใช้ในการชำระสินค้าและบริการแทนเงินสด ซึ่งเมื่อครบกำหนดเวลาตามที่ตกลง ผู้ถือบัตรจะต้องชำระเงินส่วนนั้นคืนให้กับผู้ออกบัตร ว่าแต่เราควรมีแนวทางในการเลือกบัตรเครดิตอันไหนดีให้เหมาะกับตัวเอง?
"คำตอบก็คือ เราต้องหาบัตรเครดิตที่ให้ผลประโยชน์กับเรามากที่สุด หรือให้ข้อเสนอส่วนลดพิเศษในสินค้า หรือบริการต่างๆ ที่เราจะได้ใช้จริงๆ"
การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตสามารถใช้จ่ายได้ตั้งแต่ในห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน ร้านอาหาร ไปรษณีย์ ทางโทรศัพท์ หรือแม้กระทั่งทางคอมพิวเตอร์ และสามารถใช้จ่ายได้ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด จะเห็นได้ว่าบัตรเครดิตมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตเรามากขึ้นทุกที โปรโมชั่นส่วนลดและสิทธิประโยชน์ต่างๆ นับวันก็ยิ่งมากขึ้น แน่นอนว่าย่อมทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบมากมาย
เลือกบัตรเครดิตอันไหนดีให้คุ้มค่ามากที่สุด?
เพื่อเป็นการตอบคำถามของทุกคนว่าด้วยเรื่องของการมองหาบัตรเครดิตอันไหนดี? วันนี้เราจึงได้ทำการรวบรวมทุกข้อมูลสำคัญมาให้ทุกท่านได้ทราบกัน จริงๆ แล้วต้องบอกก่อนว่าการหาบัตรเครดิตที่ถูกใจนั้นก็เหมือนกับการ "ช้อปปิ้ง" หาของที่ถูกใจ เราต้องหาบัตรเครดิตที่ให้ผลประโยชน์กับเรามากที่สุด หรือให้ข้อเสนอส่วนลดพิเศษในสินค้า หรือบริการต่างๆ ที่เราจะได้ใช้จริงๆ ลองมาดูวิธีการเลือกบัตรเครดิตให้เหมาะสมกับตัวเราเองว่ามีหลักการอย่างไรบ้าง
* เลือกบัตรเครดิตร่วมที่สถาบันการเงินออกร่วมกับองค์กรธุรกิจที่เราใช้บริการบ่อย เช่น บัตรเครดิตที่ออกร่วมกับบริษัทน้ำมัน หรือบัตรเครดิตที่ออกร่วมกับโรงพยาบาล เพราะบัตรเครดิตร่วมจะมีส่วนค้าลด หรือสิทธิประโยชน์พิเศษเมื่อเราใช้ซื้อสินค้า หรือใช้บริการ
* เลือกบัตรเครดิตที่มีโปรโมชั่นตรงกับไลฟ์สไตล์เรา บางครั้งการเลือกบัตรเครดิตร่วมที่สถาบันการเงินออกร่วมกับองค์กรธุรกิจที่เราสนใจอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของเราได้ทั้งหมด ดังนั้น การพิจารณาดูที่โปรโมชั่น หรือสิทธิพิเศษก็เป็นทางเลือกที่ดี เราอาจเลือกบัตรเครดิตที่ทำโปรโมชั่นกับห้างสรรพสินค้าที่เราไปซื้อของเป็นประจำ เช่น โปรโมชั่นช้อป 1,000 คืน 1,000 กับ 3 ห้างดัง หรือการให้ผ่อนชำระโดยไม่เสียค่าดอกเบี้ย เป็นต้น
* เลือกบัตรเครดิตสะสมไมล์ ถ้าเราเดินทางบ่อย ใครที่ชอบเดินทาง ก็อาจเลือกบัตรเครดิตที่สามารถเอาคะแนนไปแลกไมล์สะสมของสายการบินที่ใช้บ่อยๆ บัตรแบบนี้เหมาะกับผู้ที่ชำระหนี้บัตรเต็มจำนวนในกำหนดเวลา เพราะบัตรชนิดนี้มักจะคิดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าบัตรทั่วไป แต่จะมี "ไมล์สะสม" ให้สำหรับเงินทุกบาทที่ใช้ผ่านบัตร
* สำหรับขาช้อปต้องเลือกบัตรเครดิตสะสมแต้ม เคยเป็นโปรโมชั่นสุดฮิตที่ผู้ออกบัตรเครดิตแทบทุกรายใช้กัน โปรโมชั่นนี้จะเหมาะกับเรามากถ้าเราเป็นคนที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเยอะ และไม่คิดจะมีหนี้บัตรเครดิต ยิ่งเราช้อปมาก เราก็จะยิ่งมีคะแนนสะสมมาก ซึ่งคะแนนนี้สามารถนำไปแลกเป็นสิ่งของ หรือบริการ หรือแลกเป็นเงินสดคืนก็ได้แล้วแต่ข้อกำหนดของบัตรนั้นๆ
* โปรโมชั่นสุดฮิตต้องบัตรเครดิตคืนเงิน (cash back) ระยะหลังการให้คะแนนสะสมแต้มได้รับความนิยมน้อยลงเรื่อยๆ เพราะหลายครั้งของที่ให้แลกก็ไม่โดน หรือต้องใช้คะแนนแลกสูงเกินไป ทำให้ช่วงหลังมีโปรโมชั่นคืนเงินให้กันตรงๆ เลย ไม่ต้องสะสมแต้มให้ยุ่งยาก โดยปกติโปรโมชั่นคืนเงินจะมีเงินคืนที่แตกต่างกัน แต่จะอยู่ที่ราวๆ .025-3% โดยขึ้นอยู่กับมูลค่าการซื้อ และสินค้า หรือบริการที่ซื้อ ส่วนการยกยอดเงินคืนให้จะเป็นรูปแบบใดบ้างนั้นเราก็ต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อนด้วย
* เลือกบัตรเครดิตสำหรับธุรกิจ บัตรเครดิตประเภทนี้เหมาะกับผู้ที่ประกอบธุรกิจ และใช้บัตรเครดิตในการทำธุรกิจต่างๆ โดยต้องการแยกค่าใช้จ่ายนี้ออกจากค่าใช้จ่ายส่วนตัว บัตรประเภทนี้มักจะมีส่วนลดให้ในร้านค้า หรือบริษัทพันธมิตรท่ีจะเป็นคู่ค้าทางธุรกิจของเราได้
* เลือกชาร์จการ์ด บัตรที่เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากเป็นหนี้บัตรเครดิต เพราะบัตรประเภทนี้ต้องจ่ายเงิน "เต็มจำนวน" ทุกเดือน แม้ว่าชาร์จการ์ดมักจะมีค่าธรรมเนียมรายปีที่สูงกว่า แต่ก็มักจะมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ดึงดูดใจมากกว่าเช่นกัน
* เลือกบัตรเครดิตที่มีจำนวนร้านค้าที่รับบัตรเยอะกว่า เราทำบัตรเครดิตก็เพื่อมาใช้จ่าย ถ้าโปรโมชั่นดีเลิศ แต่มีร้านค้าไม่กี่ร้านที่รับบัตร ก็ดูเหมือนจะไม่คุ้ม เปรียบได้กับการมีรถเก๋งคันหรู แต่ไม่มีปั๊มให้เติมน้ำมัน รถก็วิ่งไม่ได้อยู่ดี
* เลือกบัตรเครดิตที่เราสะดวกในการชำระเงิน ความสะดวกสบายในการชำระเงินก็เป็นเรื่องสำคัญที่ควรคำนึงถึง บัตรเครดิตส่วนใหญ่มีทางเลือกให้ชำระผ่านหลายช่องทาง ทั้งเคาน์เตอร์ธนาคาร ธนาคารทางอินเตอร์เน็ต หรือธนาคารทางโทรศัพท์มือถือ หากเป็นการชำระกับสถาบันการเงินที่เป็นผู้ออกบัตรก็จะไม่เสียค่าธรรมเนียม
* เลือกบัตรเครดิตที่มีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยมากที่สุด บัตรเครดิตแต่ละยี่ห้อมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยไม่เท่ากัน มีตั้งแต่ 45-55 วัน ต่างกัน 10 วัน หรือ 22% เลยทีเดียว ระยะปลอดหนี้สำหรับบัตรเครดิตประกอบด้วยระยะเวลา 2 ช่วง คือ ระยะเวลานับจากวันใช้จ่ายจนถึงวันสรุปยอดบัญชี และระยะเวลานับจากวันสรุปยอดบัญชีถึงวันกำหนดชำระเงิน
* เลือกบัตรเครดิตที่คิดดอกเบี้ยต่ำ ถ้าคิดว่าไม่สามารถจ่ายเงินได้เต็มจำนวนในทุกๆ รอบบัญชี ก็ควรเลือกทำบัตรเครดิตกับสถาบันการเงินที่คิดดอกเบี้ยต่ำเอาไว้ก่อน ถึงแม้จะต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีบ้าง ก็ยังดีกว่าการต้องไปเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงๆ
* เลือกบัตรที่ค่าธรรมเนียมรายปีต่ำ หรือยกเว้น ถ้าคิดว่าสามารถจ่ายหนี้ได้ตามจำนวนที่ใช้จริงในทุกรอบบัญชี การเลือกบัตรเครดิตดอกเบี้ยต่ำก็ไม่มีประโยชน์ เราควรมองหาบัตรที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือค่าธรรมเนียมรายปี
เป็นยังไงกันบ้างกับคำตอบของคำถามที่ใครหลายคนมักจะสงสัยกันว่าด้วยเรื่องของการเลือกบัตรเครดิตอันไหนดี? หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความที่เราได้นำเสนอไปคงจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อย