ตั้งแต่การ
คลายล็อกดาวน์ในประเทศของเราให้สามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้อย่างอิสระ ผู้คนเริ่มโหยหาการไปเที่ยว แต่ก็อยากได้ความรู้สึกสบายใจเหมือนอยู่ที่บ้าน ทำให้เกิดแนวทางการท่องเที่ยวแบบใหม่นั่นคือ “Staycation” ที่ผู้คนมักจะมองหาโรงแรม หรือที่พักไม่ไกลมากเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศในชีวิต ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเดินทางไกลหลายชั่วโมง แต่ก็มีโอกาสได้เที่ยวพักผ่อน จากความต้องการที่เปลี่ยนไปของนักท่องเที่ยว
โรงแรม หรือที่พักต้องปรับตัวเองให้ธุรกิจของเรา รองรับไลฟ์สไตล์ใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น แล้วเจ้าของธุรกิจโรงแรม และที่พักต่าง ๆ จะต้องปรับตัวแบบไหน เรามีไอเดียดีที่จะช่วยให้ธุรกิจของเราดึงดูดคนให้มาใช้บริการ Staycation มาฝากกัน
1. มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ใช้
อินเทอร์เน็ตนับเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของทุกคนไปแล้วในยุคนี้ เพราะเราชอบดูวิดีโอสตรีมมิ่ง หรือทำงานผ่านระบบรีโมทระยะไกล ก็ต้องอาศัยอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อการใช้งานที่ไหลลื่น ส่วนใหญ่หลาย ๆ โรงแรมมีอินเทอร์เน็ตให้ใช้ก็จริง แต่ใช้งานไปไม่นาน ความเร็วดรอป หรือสัญญาณหลุดบ่อย ๆ หากเรานำเรื่องอินเทอร์เน็ตมาเป็นจุดเด่นโปรโมทลงในแฟนเพจ หรือใบโบรชัวร์ เช่น “ที่พักบรรยากาศระดับ 6 ดาว มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ใช้ฟรีเหมือนนอนเล่นที่บ้าน” จะช่วยดึงดูดให้ลูกค้ากลุ่มคนทำงานที่ต้องการเปลี่ยนสถานที่ทำงานมาใช้บริการมากยิ่งขึ้น
2. ลด แลก และแจก บริการจากที่พัก
แค่ลดราคาห้องพัก หรือบริการต่าง ๆ ของทางที่พักอาจไม่เพียงพอต่อไปเพราะลูกค้าส่วนใหญ่มองหาบริการที่มอบประสบการณ์ดี ๆ ให้พวกเขาได้มากกว่าการ
ลดราคา หากที่พักของเรามีบริการร้านอาหาร สปา หรือบริการนำเที่ยว ให้รวมบริการทั้งหมดนี้ไปในราคาห้องพักเลย หรืออาจจัดแพ็กเกจแบ่งเป็นระดับ ๆ ในราคาที่ไม่แตกต่างกันมาก ให้ลูกค้าได้ตัดสินใจก่อนเข้าพักว่าจ่ายเพิ่มอีกนิดก็ได้มาพักผ่อน Staycation แบบจบครบ ไม่มีการจ่ายเงินเพิ่ม แล้วเราก็เก็บรีวิวของลูกค้านำไปโปรโมทต่อได้ในโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างกระแสปากต่อปาก กระตุ้นยอดจองที่พักในทุก ๆ วัน
3. มีจุดถ่ายรูปให้เกิดกระแส Instagrammable
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า
โซเชียลมีเดียมีผลอย่างมากกับธุรกิจในยุคนี้ และถ้าโรงแรม หรือที่พักของเรามีมุมเด่น ๆ มีพร็อพสวย ๆ ให้ถ่ายรูปจะยิ่งช่วยสร้างความน่าสนใจให้ลูกค้าอยากมา Staycation และถ่ายรูปลง Instagram และเช็คอินเหล่าผู้คนที่ติดตามก็อยากจะมาใช้บริการโรงแรมของเรามากขึ้นกว่าเดิม เพื่อที่จะได้ถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดียเหมือนคนอื่น ๆ บ้าง ผลของกระแส Instagrammable จะช่วยให้ยอดขายของโรงแรม หรือที่พักเพิ่มสูงขึ้น และไม่ต้องกลัวว่าวันธรรมดาลูกค้าจะหายไป เพราะมีหลายคนเลือกที่จะไป Staycation ในวันธรรมดา และอยากมีภาพลงโซเชียลมีเดียในมุมเดียวกันกับคนอื่น ๆ แต่ต้องการความเงียบสงบในการมาพักผ่อนมากกว่า สรุปแล้วเราจะได้ลูกค้ามาใช้บริการโรงแรม หรือที่พักของเราแบบต่อเนื่องด้วยการทำจุดถ่ายรูปให้ฮิตติดโซเชียล
4. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นห้องพักรายเดือน
สำหรับราคาที่พักต่อคืนในเรทโรงแรมอาจสูงเกินไป เราไม่แนะนำให้เข้าเราเข้าสงครามลดราคากับคู่แข่ง แต่เราอาจแบ่งห้องพักจำนวนหนึ่งมาเป็นห้องพักรายเดือนในราคาย่อมเยาคิดเป็นราคาเหมาไปเลย เป็นแพ็กเกจสำหรับคนที่อยากจะมา Staycation แบบระยะยาว ในส่วนนี้อาจลดบริการบางส่วนจากแพ็กเกจเดิมของโรงแรม เพื่อไม่ให้ต้นทุนสูงจนเกินไป แต่ยังคงบริการบางส่วนไว้เช่น บริการแม่บ้านทำความสะอาด หรือบริการสปา นวดผ่อนคลาย เพราะคนทำงานที่มองหาห้องพักมา Staycation ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน ๆ คงต้องปวดเมื่อย การมีแพ็กเกจแบบนี้อยู่รวมในราคาที่ต้องจ่าย คงทำให้ตัดสินใจเลือกโรงแรม หรือที่พักของเราเป็นจุดหมาย Staycation ในใจ
5. จับมือกับธุรกิจร้านค้าละแวกใกล้เคียง
สำหรับโรงแรม หรือที่พักไหนไม่มีบริการอย่างอื่น เช่น ห้องอาหาร หรือบริการนวด อยากดึงลูกค้าที่อยากมา Staycation ลองจับมือกับธุรกิจรอบ ๆ ที่พักของเราดูสิทั้งร้านอาหาร ร้านขายของชำ หรือร้านกาแฟ โดยให้เป็นส่วนลดราคาพิเศษจากร้านพันธมิตรของเรา ไม่ใช่แค่ช่วยเราเท่านั้น แต่ธุรกิจรอบ ๆ ตัวเรายังสามารถอยู่รอดได้ และลูกค้าที่มา Staycation ยังมีโอกาสได้ลองสิ่งใหม่ ๆ นอกเหนือจากการใช้บริการจากโรงแรมของเรา
สำหรับธุรกิจโรงแรม หรือที่พักผ่อนในช่วงนี้เริ่มมีสถานการณ์ที่ดีขึ้น แต่การแข่งขันก็สูงเหมือนกันเพราะจากการล็อกดาวน์ทำให้นักท่องเที่ยวหายไปเยอะมาก หากธุรกิจของเราปรับตัว และเปลี่ยนแปลงตอบรับเทรนด์การท่องเที่ยวแบบ Staycation ได้ไวก็เพิ่มโอกาสทำยอดขายกลับมาเหมือนช่วงที่เป็นปกติ หากคนทั่วไปคิดว่าจะไป Staycation ที่ไหนดีลองดูสิว่า โรงแรม หรือที่พักใด มีไอเดียการให้บริการแบบเดียวที่เราแนะนำหรือไม่ ถ้ามีอย่างน้อยสักข้อบอกได้เลยว่าการไป Staycation ในครั้งนี้ต้องประทับใจจนต้องอยากจะมาพักใช้บริการซ้ำอย่างแน่นอน