“Ok Google”
“สวัสดี Siri”
และ ‘Hey Alexa”
คำพูดสามคำนี้คงเป็นคำที่ใครหลายคนพูดบ่อย ๆ หากว่าอยากจะสั่งเปิด-ปิดไฟ หรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่มีระบบสมาร์ทโฮม หรือระบบบ้านอัจฉริยะ ที่สามารถเชื่อมต่อตัวเราและอุปกรณ์ภายในบ้าน เพียงแค่พูดออกมา เหมือนว่าเรามีเวทมนตร์เลยทีเดียว ซึ่งระบบสมาร์ทโฮมเราไม่จำเป็นต้องซื้อบ้าน หรือ Build-in ใหม่แต่อย่างใด แต่เราต้องใช้อุปกรณ์ที่รองรับก็สามารถเปลี่ยนบ้านเก่าให้เป็นบ้านใหม่ที่รองรับระบบสมาร์ทโฮมได้แบบไม่ยาก แถมราคาสบายกระเป๋า หากว่าใครกำลังสนใจอยากให้บ้านของเราสมาร์ทกว่าที่เคยเป็น มาปูพื้นฐานกับระบบสมาร์ทโฮมกันก่อนดีกว่า
รู้จักระบบสมาร์ทโฮม ให้มากขึ้น
ระบบสมาร์ทโฮม คือการทำให้อุปกรณ์ภายในบ้านของเรา เช่น สวิตช์ไฟ พัดลม หรือเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ถูกควบคุมด้วยระบบอัจฉริยะ หรือ Hub โดยมีอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง ที่สามารถทำงานได้เองแบบอัตโนมัติ หรือรับคำสั่งของเราให้ทำงานตามที่ต้องการ ซึ่งในอดีตระบบสมาร์ทโฮมจะมีความยุ่งยาก เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์ตัวแปลงอย่างเช่น รีโมท เพื่อแปลงสัญญาณไปยังอุปกรณ์ของเรา ซึ่งมักมีความซับซ้อน ทำให้ไม่เป็นที่นิยม แต่ตอนนี้อุปกรณ์ที่รองรับสมาร์ทโฮมใหม่ ๆ จะมีการติดตั้งชิ้นส่วนภายในที่สามารถรับคำสั่ง และไม่ต้องใช้ตัวแปลงสัญญาณให้ยุ่งยากหรือที่ใครหลายคนรู้จักในชื่อ Internet of Thing และสามารถใช้งานผ่านแอปฯ บนมือถือของเราก็สามารถ
สั่งงานระบบสมาร์ทโฮมได้ สำหรับระบบสมาร์ทโฮมที่นิยมจะมีด้วยกัน 3 เจ้าหลัก ๆ ดังนี้
- Apple HomeKit จะใช้ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Siri เป็นคนรับคำสั่ง สามารถสั่งงานเป็นภาษาไทยได้
- Google Nest จะใช้ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Google assistant เป็นคนรับคำสั่ง สามารถสั่งงานเป็นภาษาไทยได้
- Amazon Alexa จะใช้ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Alexa เป็นคนรับคำสั่ง ตอนนี้ยังไม่รองรับการสั่งงานเป็นภาษาไทย
ดังนั้นก่อนที่เราจะเลือกซื้ออุปกรณ์สมาร์ทโฮมต้องสังเกตก่อนว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นรองรับ Hub กับระบบใด เพราะถ้าหากซื้อมาแล้ว พอเชื่อมต่อระบบหากว่าเป็นคนละ Hub จะไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ แต่อุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่ขายในบ้านเรามักจะรองรับระบบ Google Nest เป็นส่วนมากตั้งแต่อุปกรณ์ในราคาที่ถูกไปจนถึงราคาแพง ส่วนระบบ Apple HomeKit และ Amazon Alexa ยังมีอุปกรณ์ที่รองรับได้น้อยอยู่เพราะจะมีราคาที่แพง หากใครชอบ หรือถนัดระบบไหนสามารถเลือกใช้ได้ตามสะดวก
เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่าจะเลือกใช้ระบบ Hub กับเจ้าไหนสิ่งที่เราควรเตรียมพร้อม และเป็นหัวใจสำคัญเลยคือ ‘อินเทอร์เน็ต’ หากบ้านใครมี Wi-Fi ใช้งานกันบ้านเป็นปกติ คงไม่มีปัญหาอะไร ขอแค่สัญญาณในบ้านเสถียรและรวดเร็วก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าใครอยู่หอพักไม่สามารถติดตั้งอินเทอร์เน็ต อาจต้องใช้ตัวกระจายสัญญาณ หรือ Hotspot ช่วยทำหน้าที่กระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากมือถือของเราให้เป็น Wi-Fi ก็ใช้งานได้เหมือนกัน มาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะพอเข้าใจระบบสมาร์ทโฮมกันแล้ว แล้วตัวอุปกรณ์สมาร์ทโฮมล่ะ เราจะใช้ตัวไหนกันดี ไม่ต้องค้นหาให้เหนื่อย เรามัดรวม 5 ชิ้นที่ควรมีติดบ้าน แล้วชีวิตของเราจะสบายขึ้นอีกเยอะ
1. สวิตช์ไฟ-ปลั๊กไฟ อยู่ที่ไหนก็สั่งเปิด-ปิดสบายสุด ๆ
ปัญหาลืมปิดไฟ หรือเสียบเครื่องใช้ไฟฟ้าทิ้งไว้จนทำให้ค่าไฟพุ่งสูงขึ้นจะหมดไปด้วยปลั๊กไฟ และสวิตช์ไฟ Wi-Fi ในบ้านเราก็มีด้วยหลายยี่ห้อตั้งแต่ราคาหลักร้อยจนถึงพันบาท เช่น ยี่ห้อ Sonoff, Xiaomi หรือ Tuya เป็นต้น โดยเราสามารถนำไปติดตั้งกับสวิตช์ไฟ หรือปลั๊กไฟเดิมที่มากับตัวบ้าน เพียงแค่เช็กว่ามีสาย N หรือนิวตรอนไหน เชื่อว่าทุกบ้านในสมัยนี้จะมีสายเส้นนี้อยู่ในระบบไฟบ้านด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าบ้านไหนไม่มีสายนิวตรอนอาจต้องใช้อุปกรณ์เสริม เพื่อเป็นตัวกลางให้อุปกรณ์สั่งงานได้ง่ายขึ้น
สำหรับการทำงานของปลั๊กไฟ หรือสวิตช์ไฟระบบ Wi-Fi จะช่วยให้เราสามารถสั่งเปิด-ปิดไฟ จากที่ไหนก็ได้ตราบใดที่อุปกรณ์เหล่านี้ยังเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตภายในบ้าน และเรายังสามารถสั่งการทำงานโดยใช้เสียงอย่างเช่น “OK Google เปิดไฟหน้าบ้าน” หากว่าใครกลับบ้านกลางคืนการเปิดไฟไว้ก่อนจะถึงบ้านจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในชีวิตได้ สำหรับสวิตช์ไฟ และปลั๊กไฟระบบ Wi-Fi ยังมีประโยชน์อีกมาก ใครที่กำลังเล็ง ๆ ไว้ เจ้านี้ล่ะ ต้องมีติดบ้านไว้เลย สะดวกสบายในชีวิตสุด ๆ
ขอขอบคุณรูปภาพจาก bxclvr.com
2. สมาร์ทแบตเตอรี่ เกิดเหตุด่วนไฟไหม้แจ้งเตือนได้ทันที
โดยส่วนใหญ่บ้าน หรือคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่จะมีการติดตั้งอุปกรณ์แจ้งเตือนไฟไหม้กันอยู่แล้ว เมื่อมีควันเยอะ ๆ ตัวอุปกรณ์จะมีเสียงแจ้งเตือนคนที่อยู่ในบ้าน แต่ถ้าเราอยู่ข้างนอกไม่มีใครอยู่บ้าน หากเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าลัดวงจร หรือเกิดประกายไฟภายในบ้านก็หมดสิทธิ์ที่เราจะป้องกัน แต่สมาร์ทแบตเตอรี่ จาก Roost อุปกรณ์สมาร์ทโฮมที่เก่งเรื่องของความปลอดภัยที่สามารถส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังมือถือของเรา หรือสถานีดับเพลิง ให้เข้าไปตรวจสอบพื้นที่บ้านของเราได้ เพื่อระงับเหตุที่อาจลุกลามได้
โดยการทำงานของ สมาร์ทแบตเตอรี่ จะมีเซนเซอร์ดักจับควัน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หากมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น ตัวสมาร์ทแบตเตอรี่ จะรีบส่งข้อความแจ้งเตือนโดยทันที และไม่ต้องกลัวว่าจะติดตั้งยุ่งยากเพราะขนาดของ สมาร์ทแบตเตอรี่ มีขนาดเท่าถ่านไฟฉายขนาด 9V เท่านั้นเอง และสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต แล้วคอยควบคุมผ่านมือถือได้แบบง่าย ๆ หากใครที่กังวลเรื่องของไฟไหม้ การมีสมาร์ทแบตเตอรี่ติดบ้านเอาไว้ ก็ช่วยลดความกังวลได้มากทีเดียว
3. หุ่นยนต์แม่บ้านทำความสะอาด จะดูดหรือถู ทั้งวันก็ทำได้
จะดีแค่ไหนถ้าพื้นบ้านของเราสะอาดไร้ฝุ่น ตลอดวัน หากใครต้องเจอปัญหาฝุ่นผงหรือเจอเศษเส้นผมที่พื้น ต้องคอยใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดตลอดเวลา คงจะเซ็งน่าดู แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีเครื่องดูดฝุ่นพัฒนาขึ้นอย่างมากเราสามารถหาซื้อเจ้าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นได้ง่าย และราคาที่ไม่แพงแถมบางรุ่นรองรับดูดฝุ่นและถูพื้น จบครบในตัวเดียวอย่างเช่น Roborock, Autobot หรือ iRobot เป็นต้น ซึ่งเจ้าหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ในขั้นแรกเราจำเป็นต้องเชื่อมต่อ Wi-Fi ในบ้านของเราเพื่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วเราจะสั่งงานด้วยเสียง หรือการใช้แอปฯ ส่งการทำงาน แล้วปล่อยให้หุ่นยนต์ทำงานแทนเรา และในหุ่นยนต์บางรุ่นมีระบบที่ชื่อว่า Map home ที่จะจำลองลักษณะพื้นที่การทำงาน แล้วบอกว่ามีจุดไหนที่จุดสกปรกบ้าง ใช้เวลาทำงานไปกี่นาที บอกข้อมูลเราอย่างละเอียด
เจ้าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นนอกจากช่วยแบ่งเบาภาระของเราในระหว่างวัน ยังช่วยลดปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นจากฝุ่นที่อาจส่งผลให้เราเป็นโรคภูมิแพ้ จากการใช้ไม้กวาด ทำความสะอาดแบบเดิม ๆ ที่ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบ้าน หากใครที่สนใจอยากได้ผู้ช่วยทำความสะอาดบ้าน หุ่นยนต์ดูดฝุ่นนี่ล่ะที่จะทำให้บ้านเราปลอดภัยจากเชื้อโรค และฝุ่นยิ่งกว่าเดิม
4. เครื่องซักผ้าและตู้เย็น ช่วยเพิ่มเวลาให้กับเรามากกว่าเดิม
เครื่องซักผ้า กับตู้เย็นจะเพิ่มเวลาให้กับเราได้ยังไง? เรื่องนี้ทำได้สิเพราะตอนนี้มีเครื่องซักผ้า และตู้เย็นหลายยี่ห้อที่สามารถสั่งงานผ่านอินเทอร์เน็ตได้แล้ว หากใครรีบตื่นมาในวันหยุดเพื่ออยากซักผ้าก่อนไปซื้อของเข้าบ้าน ก็ต้องยอมเสียเวลานั่งรอจนเครื่องซักผ้าทำงานจนเสร็จ ถึงจะเอาผ้ามาตาก หรือถ้าปล่อยให้เครื่องซักผ้าทำงานแล้วออกไป ก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาตากทันไหม มาช้าเสื้อผ้าก็เหม็นอับต้องซักใหม่ แต่เครื่องซักผ้าที่มีระบบอัจฉริยะ สามารถเชื่อมต่อกับระบบ Wi-Fi อย่างเช่น Samsung หรือ LG สามารถให้เราสั่งการทำงานได้บนแอปฯ เพียงแค่ใส่ผ้าที่ต้องการ เทน้ำยาทำความสะอาดให้เรียบร้อย ปิดฝา ออกไปทำธุระข้างนอกบ้านได้เลย และเมื่อคิดจะเดินทางกลับบ้านก็สามารถสั่งงานเครื่องซักผ้าจากนอกบ้าน เมื่อเรากลับถึงบ้านเครื่องก็ทำงานเสร็จพอดี ตากเสื้อผ้าได้อย่างสบายใจ ไม่มีเหม็นอับ
และตู้เย็นอัจฉริยะ ที่เชื่อมต่อกับระบบสมาร์ทโฮม เช่น Samsung ก็มีระบบที่ช่วยคำนวณปริมาณวัตถุดิบในตู้เย็น หากของชิ้นไหนจะหมด เราสามารถกดสั่งซื้อวัตถุดิบนั้น ๆ ให้มาส่งที่บ้านได้เลย ก่อนที่วัตถุดิบจะหมดช่วยให้เราประหยัดเวลาขึ้นอีกมาก ไม่ต้องให้ของหมดแล้วค่อยสั่ง กว่าของจะมาส่งก็ต้องรอกันไปอีก เพียงแค่นี้ทั้งสองอุปกรณ์ก็ช่วยให้เรามีเวลาเพิ่มขึ้น ได้ทำอะไรในชีวิตได้อีกตั้งเยอะ
ขอขอบคุณรูปภาพจาก techhive.com
5. เซ็นเซอร์อัจฉริยะ นวัตกรรมลดน้ำรั่ว ปกป้องบ้านที่คุณรัก
ปัญหาที่ทำให้คนรักบ้านทุกคนต้องปวดหัว คงหนีไม่พ้น
น้ำรั่ว น้ำซึมยิ่งบ้านสมัยนี้มักจะเดินท่อน้ำไว้บนฝ้าเพดาน หรือฝังไว้ในกำแพงบ้าน เมื่อเกิดปัญหาน้ำรั่วแต่ละครั้งยากที่จะตรวจเช็กว่ามันรั่วมาจากจุดไหนบ้าง กว่าจะเจอต้นเหตุก็ทำให้ผนังหรือฝ้าเกิดเชื้อราแล้ว ต่อจากนี้บอกลาปัญหาไปเลยด้วย เซนเซอร์อัจฉริยะที่สามารถตรวจสอบได้ว่า บริเวณรอบ ๆ มีน้ำรั่ว หรือท่อประปาแตกหรือไม่ โดยยี่ห้อที่ได้รับความนิยมอย่างเช่น WallyHome หรือ Xiaomi เป็นต้น หลักการทำงานของเซนเซอร์อัจฉริยะนี้คือจะตรวจสอบปริมาณความชื้นในอากาศ หากมีความชื้นสูงเกินไป ตัวเซนเซอร์จะรีบส่งข้อความเตือนไปยังผู้ใช้ว่า เซนเซอร์จุดนี้มีความชื้นสูง อาจเกิดปัญหาจากระบบน้ำในบ้าน เพื่อที่เราจะได้แก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที
ทั้งนี้เราสามารถประยุกต์การใช้งานได้หลายแบบ เช่น นำไปวางใกล้ ๆ กับขอบประตู หรือหน้าต่าง เพื่อสังเกตความชื้นหากมีฝนสาดเข้ามาในห้องของเรา สำหรับเซนเซอร์อัจฉริยะแบบนี้ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็ก สามารถวางตามจุดที่อยากเฝ้าระวัง โดยไม่รู้สึกว่ารกบ้านเลย หากไม่อยากเจอปัญหาบ้านชื้น เฟอร์นิเจอร์มีเชื้อรา เซนเซอร์อัจฉริยะตัวนี้จะช่วยแก้ปัญหานี้ให้คุณได้อย่างดี
นี่เป็นเพียงตัวอย่างสินค้าในกลุ่มสมาร์ทโฮม ยังมีอุปกรณ์อีกมากมายให้เราปรับใช้ในบ้านของเรา แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรจะรู้ไว้สำหรับเรื่องของการทำสมาร์ทโฮมนั่นคือเรื่องของความปลอดภัย เพราะทุกอุปกรณ์จะอยู่ภายใต้อินเทอร์เน็ต Wi-Fi ของบ้านเรา หากถูกแฮค หรือรหัสผ่านรั่วไหลของออกไปจะทำให้มิจฉาชีพเข้ามาแฝงตัว หรือขโมยข้อมูลส่วนตัวของเราได้ เพื่อความปลอดภัยควรหมั่นอัปเดตซอฟต์แวร์ และเปลี่ยนรหัสผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงได้อีกมากเลย