ในขณะที่กระแสการเงินแบบ Cardless Society หรือสังคมไร้บัตรที่สามารถใช้จ่ายผ่านระบบได้สะดวกสบายโดยไม่ต้องพกอะไรให้วุ่นวาย มีแนวโน้มจะเติบโตเพิ่มขึ้น ดึงความสนใจให้ผู้คนหันมาใช้การสแกนนิ้วมือ และการใช้ QR Code แทนบัตรและเงินสด แต่ตอนนี้มีเทรนด์เทคโนโลยีที่ล้ำไปอีกขั้น อย่างการสแกนใบหน้า
สมัยก่อนเวลาดูหนังแล้วเห็นภาพของตัวละครยื่นหน้าให้สแกนแล้วรู้สึกทึ่งจริง ๆ แต่พอผ่านไปไม่นาน ก็เริ่มได้ข่าวว่ามีการใช้เทคโนโลยีสแกนใบหน้ามาใช้กันบ้างแล้ว วันนี้ ผมฐากร ปิยะพันธ์ จะขอพาผู้อ่านทุกท่านไปรู้จัก Face++ โปรแกรมใหม่มาแรงกันครับ
สแกนลายนิ้วมือยังต้องหลบให้สแกนใบหน้า
ถ้าไม่ใช่การแตะบัตรเข้าออกงาน มนุษย์เงินเดือนหลาย ๆ คนน่าจะคุ้นเคยกับระบบสแกนลายนิ้วมือกันดี ซึ่งบางวันก็สแกนติดบ้างไม่ติดบ้าง หรือสแกนแล้วกลายเป็นชื่อคนอื่น การสแกนนิ้วมือยังมีข้อจำกัดในบางรูปแบบ หากนิ้วมือคนทำงานเปื้อนสารเคมี สี หรือผลิตภัณฑ์บางอย่าง ก็อาจทำให้เครื่องไม่สามารถอ่านลายนิ้วมือได้ ก็มีใบหน้านี้ล่ะ ที่เป็นอีกอย่างที่บ่งบอกถึงตัวตนของเราได้ ใบหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญในการติดต่อราชการ หรือนำมาใช้สแกนเวลาจับผู้ร้าย รวมถึงการยืนยันตัวตนในการทำธุรกิจธุรกรรมต่าง ๆ ในการซื้อขายออนไลน์ หลาย ๆ บริษัทได้มีการพัฒนาโปรแกรมสแกนใบหน้า เช่น Baidu, Samsung, และ iPhone แต่ที่มาแรงแซงทางทุกคน กลับเป็น Startup (สตาร์ทอัพ) แห่งแดนมังกร เมืองปักกิ่ง ที่ชื่อ Megvii เจ้าของโปรแกรม Face++ (อ่านว่า เฟสพลัสพลัส)
Face++ ให้คุณจ่ายเงิน ด้วยการสแกนใบหน้า
Megvii ก่อตั้งโดยนักเรียนมหาวิทยาลัย Tsinghua ตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งหลังจากเขียนโปรแกรม Face++ และได้รับทุนสนับสนุนกว่าร้อยล้านดอลลาร์ มี Developers ในประเทศต่าง ๆ กว่า 150 ประเทศ ทำให้ Face++ กลายเป็นแพลตฟอร์มสแกนใบหน้าที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก
ในประเทศจีน การสแกนใบหน้าเพื่อซื้อขาย หรือทำธุรกรรมทางการเงินได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ทาง Megvii ก็เพิ่มเงื่อนไขให้แก่โปรแกรมเพื่อหลีกเลี่ยงคนหน้าเหมือนหรือการใช้รูปภาพ โดยโปรแกรมอาจสั่งให้ผู้ใช้งานพูดหรือขยับศีรษะเพื่อยืนยันตัวตน ยกตัวอย่างบริษัทยักษ์ใหญ่ 3 แห่งที่ใช้โปรแกรม Face++ คือ Didi บริษัทที่ดูแลเรื่องการขับรถได้ใช้โปรแกรมสแกนใบหน้าตรวจสอบว่า ผู้ขับมีใบขับขี่และวินัยที่ดีไหม Alipay แอพปลิเคชันธุรกรรมทางการเงินที่มีคนใช้มากกว่า 120 ล้านคน และได้นำ Face++ มาใช้มากกว่า 2 ปีแล้ว ผู้ที่ต้องการสั่งซื้อของสามารถแสดงใบหน้าผ่านจอ ระบบหลังบ้านก็จะผูกข้อมูลใบหน้านี้เข้ากับรูปแบบการเงินที่เขาต้องการจ่าย และดำเนินการชำระเงินให้ อีกบริษัท คือ Xiaohua ซึ่งเป็นธนาคารที่ให้บริการออนไลน์เท่านั้น ในการล็อกอินหรือทำธุรกรรมต่าง ๆ ก็จะใช้ใบหน้าเป็นสิ่งที่อนุมัติ
เอ๊ะ! ถ้าหน้าเปลี่ยนล่ะ ระบบจะยังจำเราได้ไหม
หลายคนอาจสงสัยว่า เอ๊ะ ถ้าใบหน้าของเราบางส่วนเปลี่ยนไปล่ะ ระบบ Face++ จะยังใช้งานได้ตามปกติไหม ทาง Megvii ได้คลายความสงสัยนี้ด้วยการใช้ AI ให้นำเทคนิค Deep Learning จดจำรูปทรงและจุดต่าง ๆ ของใบหน้าเพื่อความแม่นยำชื่อ Brain++ ที่จดจำข้อมูลใบหน้าขึ้นมาโดยเฉพาะ และยังให้ Developers ต่าง ๆ ใช้ Face++ ฟรีช่วงที่เปิดตัวแรก ๆ ในปี 2012-2013 นอกจากนั้นก็ซื้อรูปภาพของคนต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูล ผลลัพธ์ที่ได้ คือ การจดจำจุดต่าง ๆ บนใบหน้ากว่า 80 จุดทั้งหน้าตรงหรือเคลื่อนไหว ซึ่งโปรแกรม Face++ ยังจดจำใบหน้าของดาราคนดังในช่วงเด็กกับปัจจุบันได้อีกด้วย นี่แหละ คือสิ่งที่ผมทึ่ง เพราะโปรแกรมสแกนใบหน้ามีมาแล้วระยะหนึ่ง และต่อสู้กับคำถามทำนองนี้มาตลอด จน Megvii ได้คิดค้น Face++ ขึ้นมา และได้รับการยอมรับ แม้กระทั่ง Xiaohua ที่เป็นแพลตฟอร์มกู้ยืมเงินออนไลน์ก็ยังให้ความเชื่อใจว่าจะไม่มี
การปลอมแปลงตัวตน
Face++ ยังช่วยสร้างบรรยากาศดี ๆ เวลาคนเข้าร้านหรือสถานที่ด้วยการสแกนใบหน้าและทักทายชื่อของคนคนนั้น ก้าวต่อไปของ Megvii คือการพัฒนา Face++ ให้ใช้ได้กับธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การซื้อขายนอกเหนือแพลตฟอร์มออนไลน์ การขับรถ เป็นต้น และเหนือสิ่งอื่นใด คือ การนำเทคโนโลยีมาลดโอกาสที่จะเกิดการโกง ปลอมแปลงตัวตน ในอนาคตข้างหน้า ธนาคารกรุงศรีก็อาจนำโปรแกรมสแกนใบหน้ามาให้ทุกคนได้ใช้บริการกันด้วยนะครับ อย่าลืมติดตามข่าวสารของเพลินเพลิน เพื่อรับข้อมูลความรู้ด้าน
นวัตกรรมรอบโลกต่าง ๆ กันนะครับ