ความรักอาจไม่ใช่เรื่องของเงินทอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแต่งงานและการสร้างครอบครัวนั้นต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยเลยล่ะครับ การวางแผนแต่งงานและการตั้งงบแต่งงานจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคู่รักทุกคู่ที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน เพราะทุกขั้นตอนล้วนมีค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมให้พร้อม โดยเริ่มจากการ
ตั้งงบก่อนแต่งงาน ทั้งค่าใช้จ่ายระยะสั้นอย่างการจัดงานแต่งงาน และค่าใช้จ่ายระยะยาวหลังจากเป็นครอบครัวเดียวกัน
แต่วันนี้เราจะมาโฟกัสกันที่ค่าใช้จ่ายระยะสั้นหรือให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ การตั้งงบแต่งงานนั่นเองล่ะครับ ซึ่งเป็นเรื่องที่มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่อาจต้องใช้เวลาเก็บออมกันล่วงหน้าหลายปีเลยทีเดียว
1. ตั้งงบแต่งงานไว้ บนความต้องการที่เป็นไปได้
การแต่งงาน ไม่ว่าจะงานเล็กหรืองานใหญ่ก็ต้องมีการ “ตั้งงบแต่งงาน” ไว้ก่อนเพื่อให้เราได้
วางแผนล่วงหน้าซึ่งจะช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ให้บานปลาย และทำให้เรารู้ตัวว่าแต่ละเดือนทั้งคู่ต้องเก็บเงินเท่าไหร่เพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้น ต้องใช้เวลาเก็บเงินกี่ปี โดยแนะนำว่าในขั้นตอนนี้ควรคุยกันเพื่อให้ทราบความต้องการและ “ความคาดหวัง” ของกันและกันว่าจะต้องตั้งงบแต่งงานเท่าไร จึงจะพอสำหรับคุณทั้งคู่
ตัวอย่างเช่น เมื่อเราได้คุยกันเรื่องความคาดหวังของแต่ละฝ่ายแล้ว จึงตั้งงบแต่งงาน กางแผนค่าใช้จ่ายและรายได้ออกมา เช่น เราตั้งงบแต่งงานไว้ว่า จะจัดงานที่เชิญแขกไม่เกิน 200 คน ไม่ใช้ออแกไนเซอร์ มีเงินช่วยเหลือสมทบจากผู้ใหญ่บ้าง แผนค่าใช้จ่ายในงานแต่งที่ได้หน้าตาจะออกมาประมาณนี้ครับ
|
Estimated |
Actual |
รายได้ |
|
|
เงินที่ทั้งคู่ตั้งใจจะเก็บ/ เดือน |
฿ 10,000 |
|
เงินสมทบจากผู้ใหญ่ (ถ้ามี) |
฿ 100,000 |
|
คำนวณระยะเวลาที่ต้องเก็บเงิน |
3.3 ปี |
|
รวมรายได้ |
500,000 |
|
ค่าใช้จ่ายทั้งหมด |
|
|
ค่าใช้จ่ายทั้งหมด |
500,000 |
|
การแต่งกายตามธรรมเนียม |
|
|
แหวนแต่งงาน |
50,000 |
|
ชุดพิธีหมั้น เจ้าสาว เจ้าบ่าว |
15,000 |
|
ชุดงานแต่ง เจ้าสาว เจ้าบ่าว |
15,000 |
|
ชุดเพื่อนเจ้าสาว เพื่อนเจ้าบ่าว |
10,000 |
|
ของประดับตกแต่งเจ้าสาว อื่น ๆ |
5,000 |
|
เครื่องประดับ |
- |
|
ช่างแต่งหน้า |
10,000 |
|
ช่างทำผม |
10,000 |
|
Other |
|
|
Total Apparel |
฿ 115,000 |
|
|
ค่าจัดงาน |
|
|
ค่าออแกไนเซอร์ |
- |
|
ของประดับตกแต่งงาน (ไม่รวมดอกไม้) |
30,000 |
|
การ์ดเชิญ |
10,000 |
|
ค่าดีไซน์การ์ดเชิญ |
- |
|
ค่าเช่าสถานที่ และอาหารในงาน |
100,000 |
|
เค้กงานแต่ง |
5,000 |
|
ค่าที่พักให้แขกผู้ใหญ่ 1 คืน x 20 คน |
30,000 |
|
ค่าของชำร่วยแจกแขก 200 คน |
35,000 |
|
ค่าช่างภาพ (pre-wedding/ on set) |
30,000 |
|
ค่าตัดต่อวิดีโองานแต่ง |
5,000 |
|
ค่าของรับไหว้ งานเช้า |
5,000 |
|
ค่าดอกไม้และจัดดอกไม้ในงาน |
30,000 |
|
ค่าดนตรี นักร้อง |
30,000 |
|
ค่าช่างเสียง อุปกรณ์เสียง |
25,000 |
|
เงินสำรอง |
50,000 |
|
Total Decorations |
฿ 385,000 |
|
จะเห็นได้ว่า เมื่อตั้งงบแต่งงานไว้แล้ว ทั้งคู่ต้องใช้เวลาเก็บเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในงานแต่งประมาณ 3.3 ปี โดยเก็บเฉลี่ยเท่ากันทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท (เท่ากับเก็บเงินคนละ 5,000 บาทต่อเดือน) ซึ่งในแผนนี้ ในช่องค่าใช้จ่ายควรมีค่าใช้จ่ายสำรองด้วย เผื่อไว้ในยามฉุกเฉินหน้างาน ซึ่ง Template นี้จะมีช่อง Estimated คือการประมาณค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เพื่อบริหารเงินไม่ให้งบแต่งงานเกินจากที่ตั้งไว้ และมีช่อง Actual ให้เราได้กรอก คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงครับ ซึ่งช่องรายได้ใน Template นี้จะยังไม่ใส่รายได้จากค่าซองงานแต่งและรายจ่ายที่เป็นค่าสินสอดครับ
สามารถดาวน์โหลดไฟล์ Template การตั้งงบแต่งงานและวางแผนค่าใช้จ่ายงานแต่ง ได้ง่าย ๆ และนำไฟล์มาปรับแต่งรายละเอียดให้เข้ากับงานของคุณบนโปรแกรม
Microsoft Excel ได้ครับ
ส่วนใครที่มีความจำเป็นต้องเร่งให้การแต่งงานเร็วขึ้น บางคนอาจมองหา
สินเชื่อส่วนบุคคล แนะนำให้ยื่นกู้กับสินเชื่อที่ได้ดอกเบี้ยต่ำ และไม่ยุ่งยากในการสมัครครับ เช่น สินเชื่อ
Krungsri iFIN ที่สามารถยื่นกู้ได้ง่ายผ่านมือถือ และได้วงเงินสูงสุดถึง 5 เท่าของรายได้
2. ควรมีบัญชีเก็บเงินงานแต่งโดยเฉพาะ
เมื่อตั้งงบแต่งงานแล้ว การเก็บเงินคือขั้นตอนสำคัญที่สุดที่จะทำให้งานแต่งเป็นไปได้ ช่องทางการเก็บเงินเป็นงบงานแต่งจึงควรแยกบัญชีออกมาต่างหาก อาจเป็นบัญชีออมทรัพย์ เพราะมีสภาพคล่องมากกว่า เผื่อเบิกถอนออกมาจ่ายค่ามัดจำต่าง ๆ ในงานแต่ง และควรเป็นบัญชีที่ต้องใช้ลายเซ็นทั้งคู่ในการถอนเงินครับ
3. คอนเนคชั่น = สปอนเซอร์
หลายคนพบว่า คอนเนคชั่นเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน หรือช่วยทำให้งานออกมาตรงตามความต้องการมากขึ้น เช่น การมีเพื่อนเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ ที่สามารถช่วยออกแบบการ์ดเชิญให้ในราคาประหยัด การมีเพื่อนรู้จักช่างภาพเวดดิ้งที่มีฝีมือและคุณภาพสมราคา การมีเพื่อนรู้จักออแกไนเซอร์ที่รับจัดงานเล็ก ๆ หรือจัดดอกไม้งานแต่ง หรือการที่เรารู้จักช่างแต่งหน้าทำผมฝีมือดี เป็นต้น
4. แยกงานผู้ใหญ่ กับงานเด็ก
ต้องยอมรับครับว่า งานแต่งงานเป็นความคาดหวังของคนหลายฝ่าย ไม่ใช่แต่เฉพาะเจ้าบ่าวเจ้าสาวอย่างเดียว การตั้งงบแต่งงานจึงต้องคิดถึงความต้องการของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายด้วย ซึ่งความคาดหวังเหล่านี้อาจทำให้งบงานแต่งงานบานปลาย จึงเริ่มมีคนนิยม “จัดงานหมั้นเช้า จัดงานแต่งบ่าย” เพื่อแยกกลุ่มแขกเหรื่อในงาน ให้งานเช้าเป็นงานที่ให้เกียรติผู้ใหญ่ให้มาเป็นสักขีพยาน ส่วนงานบ่ายก็เป็นงานที่เพื่อนของคู่บ่าวสาวได้ปาร์ตี้กันไป ด้วยบรรยากาศที่เรียบง่ายแต่เป็นกันเอง ซึ่งหลายครั้งจะพบว่าการจัดงานแนวนี้ช่วยประหยัดงบในการแต่งงานไปเยอะเลยครับ
5. เซฟค่าอาหารในงาน อย่ามองผ่าน ‘สตรีทฟู้ด’
สตรีทฟู้ดบ้านเราบางร้านเป็นระดับมิชลินสตาร์ แถมได้รับการยกย่องจากต่างชาติว่าเด็ดสุด ๆ การจัดงานแต่งแบบเน้นสตรีทฟู้ด ช่วยให้เราได้คัดสรรอาหารจากร้านที่น่าทานและรสชาติดีจริง ๆ รวมกันสักไม่เกินสิบร้านก็น่าจะสร้างความพึงพอใจให้แขกในงาน และประหยัดค่าใช้จ่ายในงานแต่งได้มากกว่าโต๊ะจีนครับ
6. งานเล็กหรือใหญ่ ก็ทำให้ ‘ประทับใจ’ ได้
สังเกตไหมครับ ความเล็กหรือใหญ่ของงาน ไม่ได้เป็นตัววัดความประทับใจที่เรามีต่องานนั้น ๆ เสมอไป บางครั้งเราไปงานแต่งเพื่อนที่จัดขึ้นเล็ก ๆ แต่บรรยากาศเป็นงานแต่งในฟาร์มสเตย์เก๋อย่าบอกใคร มีแขกไม่เกินสามสิบคน แต่ก็จัดออกมาให้ดูอบอุ่นประทับใจจนอยากบอกต่อ หากเราเน้นจัดงานเล็ก อาจทำให้ควบคุมบรรยากาศของงานและตั้งงบแต่งงานได้ง่ายกว่า โดยอาจจะไม่ต้องอาศัยวิดีโอพรีเซนเทชั่นใด ๆ เลยก็ได้
สำหรับคู่รักที่กังวลว่า จัดงานแต่งงานต้องใช้งบเท่าไหร่ และควรจะตั้งงบแต่งงานอย่างไรจึงจะครอบคลุม เพราะคุณอาจมีงบในส่วนนี้ไม่มากนัก อาจต้องลดค่าใช้จ่ายในบางส่วนที่สามารถประหยัดได้ เช่น การเลือกสถานที่จัดงานในสวนหรือร้านอาหาร แทนการจัดงานในโรงแรมที่มีราคาสูง วางแผนล่วงหน้าเพื่อจัดงานด้วยตนเองโดยไม่ต้องจ้างออแกไนเซอร์ เน้นเชิญครอบครัวและเพื่อนสนิทมาร่วมงาน อย่านำเงินก้อนไปทุ่มเทกับการจัดงานแต่งงานครั้งเดียวจนหมด
เพราะแม้ว่าการแต่งงานจะเป็นวาระสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ที่สำคัญกว่าคือภาระค่าใช้จ่ายระยะยาวหลังการแต่งงาน
เมื่อคู่รักกลายเป็น
ครอบครัว ยิ่งถ้ามีสมาชิกตัวน้อยเพิ่มขึ้นมาด้วยแล้ว นั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในทุกส่วน นอกจากจะตั้งงบแต่งงานแล้วก็ต้องไม่ลืมที่จะวางแผนการเงินให้รอบคอบตั้งแต่ก่อนแต่ง เพราะในระยะยาวยังต้องมีค่ารถคันใหม่หรือ
บ้านหลังใหม่ ค่าเทอมของลูกที่เพิ่มเข้ามา รวมถึงค่ารักษาพยาบาลเมื่อลูกเจ็บป่วยครับ
Credit: decor.mthai, the money case by the money coach, wedding-campus