ในการทำธุรกิจนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ประกอบการทุกรายจะต้องคำนวณเงินในกระเป๋าของตัวเองก่อนว่ามีเท่าไหร่ เพียงพอกับการลงทุนในกิจการหรือไม่เพียงใด ซึ่งต้องมองไปถึงอนาคตในวันข้างหน้าด้วยเพราะการทำธุรกิจช่วงแรกอาจมีปัญหา อุปสรรค หรือยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้
ว่าไปแล้วในการวิเคราะห์เงินในกระเป๋าของผู้ประกอบการแต่ละราย ใช่ว่าจะต้องเป็นเงินก้อนโตเสมอไป ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจและขนาด รวมทั้งปัจจัยเสริมอื่น ๆ อีก เนื่องจากธุรกิจแต่ละประเภทการใช้เงินลงทุนย่อมแตกต่างกัน ซึ่งแยกหลัก ๆ ได้ดังนี้
- ธุรกิจที่มีสายการผลิตเป็นของตัวเอง
- ธุรกิจประเภทซื้อมาขายไป เป็นลักษณะนายหน้าหรือโบรกเกอร์
- ธุรกิจบริการในรูปแบบต่าง ๆ
ยกตัวอย่างบางคนมีเงินลงทุนทำกิจการเริ่มแรกแค่หลักพันเท่านั้น เพราะทำธุรกิจแบบซื้อมาขายไป แล้วค่อย ๆ สะสมเงินลงทุนเพิ่มเติมเข้าไป เพื่อให้กิจการมีโอกาสขยายใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีหน้าร้าน ไม่มีพนักงาน เป็นการขายผ่านออนไลน์ยิ่งใช้เงินลงทุนไม่มาก
ส่วนกรณีเป็นธุรกิจผลิตนั้น จำเป็นที่จะต้องมีเงินทุนพอสมควร เพราะกว่าจะขายสินค้าได้ต้องมีองค์ประกอบอื่น ๆ ด้วย อาทิ เงินลงทุนตั้งโรงงาน เงินซื้อวัตถุดิบ เครื่องมืออุปกรณ์ เงินเดือนพนักงาน ค่าเช่าหน้าร้านขายสินค้า ค่าใช้จ่ายในโรงงานหรือสำนักงาน ค่าการตลาด และค่าใช้จ่ายในด้านกฎหมาย พร้อมกันนั้นต้องคิดเผื่อถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอีกอย่างน้อย 6-12 เดือนข้างหน้า ในภาวะที่สินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในตลาด
พูดง่าย ๆ คือ ต้องมีเงินสำรองไว้ก้อนหนึ่งเพื่อให้ธุรกิจยืนอยู่ได้อย่างราบรื่น ไม่ติดขัดในเรื่องเงินทุนหมุนเวียน เพราะบางธุรกิจอาจจะต้องอาศัยระยะเวลาเป็นปีกว่าจะได้ขายสินค้าได้ในปริมาณที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดเช่นเดียวกับธุรกิจภาคบริการบางอย่างก็ต้องใช้เวลาเพื่อทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ เชื่อมั่นและมาใช้บริการซ้ำ
ทั้งนี้เงินลงทุนที่มีอยู่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับธุรกิจที่ทำด้วย และถ้าตัดสินใจจะทำธุรกิจอย่างจริงจัง อย่าไปกังวลเรื่องเงินลงทุนมากนัก เพราะในยุคปัจจุบัน รัฐบาลชุดนี้มีนโยบายส่งเสริมเอสเอ็มอีอย่างเป็นรูปธรรม ผู้ประกอบการหน้าใหม่อาจจะใช้ช่องทางนี้ในการเริ่มต้นกิจการ โดยนำแผนธุรกิจไปเสนอแก่สถาบันการเงินของรัฐเพื่อขอกู้เงินไปลงทุน หากเป็นธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีโอกาสเติบโต เชื่อว่าน่าจะได้รับการอนุมัติอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามหากจะทำธุรกิจแบบไม่เครียด เมื่อเงินมีไม่พออาจจะใช้วิธีหาหุ้นส่วนก็ได้ ซึ่งคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยก็ใช้วิธีการนี้ แต่จะต้องหาหุ้นส่วนที่ไปด้วยกันได้ดี
สรุปแล้วแม้เงินในกระเป๋าตัวเองจะมีไม่เพียงพอ ก็ใช่จะเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำธุรกิจแต่อย่างใด
เพราะยังมีวิธีการต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มเงินในอีกหลายช่องทาง