ทุกวันนี้ ข่าวประชาชนโดนหลอกโอนเงิน และเข้าแจ้งความเงินหายจากบัญชี เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่เว้นวัน โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่ผู้ใช้สมาร์ตโฟนส่วนใหญ่
ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพคือ เผลอกดลิงก์ปลอมจาก SMS ที่มิจฉาชีพส่งมา หรือเข้าไปกรอกข้อมูลสำคัญในเว็บไซต์ปลอมที่มิจฉาชีพสร้างขึ้น ซึ่งมีลักษณะคล้ายเว็บไซต์จริงที่คนทั่วไปใช้งานเป็นประจำ
เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลและเงินในบัญชี จึงควรทำความเข้าใจว่าการ
ทำธุรกรรมออนไลน์อย่างปลอดภัยต้องทำอย่างไร รวมถึงมีวิธีป้องกันการดูดเงินจากบัญชีได้อย่างไรบ้าง
1. เลือกใช้แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่มีความปลอดภัยเท่านั้น
1.1 การเลือกใช้แอปพลิเคชันที่น่าเชื่อถือ
วิธีนี้เป็นเกราะชั้นแรกที่สามารถป้องกันการตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพแบบง่าย ๆ สำหรับผู้ใช้สมาร์ตโฟนระบบปฏิบัติการ iOS อาจมีความเสี่ยงน้อยกว่า เนื่องจากแอปพลิเคชันจะถูกตรวจสอบความปลอดภัยอยู่เสมอ และผู้ใช้งานจะไม่สามารถโหลดแอปพลิเคชันจากภายนอก App Store มาติดตั้งเองได้ จึงเป็นการคัดกรองแอปพลิเคชันของมิจฉาชีพได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับสมาร์ตโฟนระบบ Android จะมีความเสี่ยงมากกว่าระบบปฏิบัติการ iOS สักหน่อย เพราะเป็นระบบปฏิบัติการที่ให้อิสระผู้ใช้งานในการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันอย่างเต็มที่ นอกจากจะดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจาก Play Store ได้แล้ว ยังสามารถดาวน์โหลดไฟล์นามสกุล .APK มาติดตั้งด้วยตัวเองได้ด้วย ซึ่งอันตรายของไฟล์ .APK คืออาจถูกสอดไส้ด้วยไวรัส หรือมัลแวร์จากมิจฉาชีพ จึงเพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ใช้ Android เจอกับปัญหาถูกดูดเงินออกจากบัญชีโดยไม่รู้ตัวได้
ดังนั้น หากอยากทำธุรกรรมออนไลน์อย่างปลอดภัย แนะนำให้หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปพลิเคชันจากไฟล์นามสกุล .APK โดยเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของเงินในบัญชีและข้อมูลของคุณเอง
1.2 การทำธุรกรรมผ่านเว็บไซต์ที่ถูกต้อง
SSL Certificate ที่เป็นรูปกุญแจล็อกหรือไม่ หากมี ก็มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าเป็นเว็บไซต์ที่ใช้งานได้อย่างปลอดภัย แต่เพื่อเป็นการป้องกันเงินในบัญชีหาย ต้อง “สะกดชื่อเว็บไซต์ให้ถูกต้อง” เพราะเว็บไซต์ปลอมของมิจฉาชีพจะมีการใช้ตัวสะกดที่ใกล้เคียงกับเว็บไซต์จริง หากใครกำลังจะทำธุรกรรมออนไลน์ผ่านเว็บไซต์จะต้องดูให้ละเอียด ไม่อย่างนั้นอาจเสียเงินในบัญชีไปฟรี ๆ ได้
2. อัปเดตระบบปฏิบัติการสมาร์ตโฟนให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ
เกราะป้องกันชั้นต่อมาที่ไม่ควรมองข้าม คือการ
อัปเดตระบบปฏิบัติการ iOS หรือ Android ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ เนื่องจากการอัปเดตระบบปฏิบัติการของสมาร์ตโฟนจะช่วยแก้ไขปัญหาด้านการใช้งาน ได้ฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น และช่วยยกระดับการใช้งานสมาร์ตโฟนให้ปลอดภัยมากขึ้นอีก
นอกจากนี้ ถ้าอยากทำให้การทำธุรกรรมออนไลน์ดำเนินไปอย่างปลอดภัยมากขึ้น อย่าลืมอัปเดต
แอปพลิเคชันธนาคารให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดด้วยเช่นกัน เพราะมีส่วนช่วยเพิ่มความปลอดภัยของแอปพลิเคชันและเงินในบัญชี จึงเป็นหนึ่งในวิธีป้องกันแอปดูดเงินที่สำคัญ สามารถทำได้อย่างง่ายดายทุกที่ ทุกเวลา
3. เปลี่ยน Password ทุก 3-6 เดือน แบบไม่ซ้ำกัน
เรื่องรหัสผ่านเป็นจุดอ่อนที่ทำให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อเงินในบัญชีหายมานักต่อนัก ตั้งแต่ยุคการถอนเงินผ่านตู้ ATM จนมาถึงยุคของการ
โอนเงินออนไลน์ สำหรับรหัสผ่านที่หลายคนมักใช้กันจะเป็นตัวเลขที่คาดเดาได้ง่าย เช่น เลขวันเดือนปีเกิด หรือเลขท้ายเบอร์โทรศัพท์ ทำให้มิจฉาชีพสามารถคาดเดารหัสผ่านได้ง่าย ๆ และอาศัยช่องโหว่นี้เข้ามาโจรกรรมเงินในบัญชีโดยที่เราไม่รู้ตัว
ไม่เพียงเท่านั้น คนส่วนใหญ่ยังใช้รหัสผ่านชุดเดียวกันในหลาย ๆ แอปพลิเคชัน หรือใช้รหัสผ่านปลดล็อกสมาร์ตโฟน เหมือนกับรหัสเข้าแอปพลิเคชันธนาคาร ส่งผลให้มิจฉาชีพเข้าถึงบัญชีเงินฝากของเราได้ทันที
วิธีป้องกันการดูดเงินจากบัญชีง่าย ๆ คือ คุณต้องเปลี่ยนรหัสผ่านอย่างน้อยทุก 3-6 เดือน โดยใช้ชุดตัวเลขที่ไม่เหมือนกัน และอย่าใช้ตัวเลขจากข้อมูลส่วนตัว เพราะมิจฉาชีพสามารถล้วงข้อมูลส่วนตัวของเราได้จากโซเชียลมีเดีย หรือจะใช้ Password Generator ที่ช่วยสร้างรหัสผ่านเป็นตัวเลขแบบสุ่ม ทำให้มิจฉาชีพคาดเดารหัสผ่านได้ยากขึ้น ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน
4. อัปเกรดบัญชีเงินฝากให้ปลอดภัยด้วย OTP
อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้การทำธุรกรรมออนไลน์ดำเนินไปอย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น เป็นการเปิดใช้วิธียืนยันตัวตนแบบ OTP (One Time Password) ซึ่งเป็นรหัสผ่านที่สร้างมาเพื่อเข้าใช้งานเพียงครั้งเดียว โดยจะส่งมาที่เบอร์โทรศัพท์หรืออีเมลของเจ้าของบัญชี มีระยะเวลาการใช้งานจำกัด หากใส่ผิด จะไม่สามารถทำธุรกรรมใด ๆ ผ่านแอปพลิเคชันได้
ดังนั้น จึงไม่ควรบอกรหัสผ่าน OTP ให้ผู้อื่นทราบโดยเด็ดขาด เพราะอาจเป็นโอกาสที่มิจฉาชีพจะเข้ามาขโมยเงินของเราได้ โดยสามารถจำลองภาพความเสียหายให้เห็นแบบชัด ๆ ได้ ดังนี้
ตัวอย่างสถานการณ์ความเสียหาย
- บัญชีเงินฝาก = ตู้เซฟที่ภายในมีทรัพย์สินเก็บไว้
- รหัสผ่านของสมาร์ตโฟน = กุญแจประตูบ้าน
- รหัสผ่าน OTP = กุญแจที่ใช้เปิดตู้เซฟเก็บทรัพย์สิน
ถ้าวันหนึ่งมีมิจฉาชีพลักลอบเข้ามาในบ้าน แต่กุญแจตู้เซฟถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ถึงมิจฉาชีพจะเก่งแค่ไหน ก็ไม่มีทางจะเอาทรัพย์สินในตู้เซฟไปได้ แต่ในทางกลับกัน หากเราเผลอยื่นกุญแจตู้เซฟให้มิจฉาชีพโดยไม่ตั้งใจ ถึงตู้เซฟจะมีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนาแค่ไหนก็ไม่สามารถปกป้องทรัพย์สินได้
5. กรณีเงินในบัญชีหาย รับมือได้หากมีสติ
วิธีสุดท้าย เป็นแนวทางการรับมือในกรณีที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพแล้ว ซึ่งคนส่วนใหญ่มักตื่นตระหนกและมีคำถามว่าโดนดูดเงินจากบัญชีหรือโดนหลอกโอนเงิน ควรทำยังไงดี สิ่งสำคัญคือคุณต้องตั้งสติและปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้
- หากเผลอมอบข้อมูลส่วนตัว และบอกรหัสผ่านให้มิจฉาชีพโดยไม่ตั้งใจ ให้รีบทำการเปลี่ยนรหัสเข้าใช้งานสมาร์ตโฟนและรหัสผ่านทุกแอปพลิเคชันธนาคารให้มีความซับซ้อนกว่าเดิมโดยทันที
- เพิ่มวิธีเข้าสู่ระบบแอปพลิเคชันธนาคารด้วยการเปิดใช้งานระบบ Biometric ที่มีในสมาร์ตโฟนของเรา เช่น Face ID หรือ Fingerprint Scanner เพราะระบบนี้ยากต่อการเลียนแบบและเข้าใช้งานได้
- ให้รีบติดต่อธนาคารเจ้าของบัญชีเพื่อทำการอายัดบัญชีเงินฝาก หรือบัญชีบัตรเครดิตทันที เพื่อป้องกันถูกดูดเงินซ้ำ
- หากพบว่าอายัดบัญชีไม่ทัน เงินในบัญชีหายไปแล้ว ให้รวบรวมหลักฐานที่มีทั้งหมดเพื่อไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ และนำเอกสารที่ได้เพื่อติดต่อกับทางธนาคารโดยด่วน สำหรับลูกค้าธนาคารกรุงศรี ติดต่อได้ทาง KRUNGSRI Call Center โทร. 1572 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- ถ้าพบว่าในสมาร์ตโฟนถูกติดตั้งไวรัสหรือแอปพลิเคชันดูดเงิน ให้ทำการเปิดใช้โหมดเครื่องบินและปิด Wifi เพื่อตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต แล้วนำสมาร์ตโฟนไปให้ศูนย์บริการทำการรีเซตเครื่องให้ใหม่ เพื่อลบไวรัสหรือแอปพลิเคชันดูดเงินออกจากเครื่อง เพียงเท่านี้ก็สามารถนำสมาร์ตโฟนกลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัยอีกครั้ง
ไม่อยากตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ เริ่มต้นได้ด้วยการวางแผนการทำธุรกรรมออนไลน์อย่างปลอดภัยและรัดกุมตามแนวทางที่กล่าวถึงไปข้างต้น ป้องกันเงินในบัญชีหายและรับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยคุณและคนรอบข้างไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้แน่นอน