สำหรับชีวิต
หนุ่มสาวมนุษย์เงินเดือนในปัจจุบัน หรือคนทำงานทั่วไป ถ้าให้พูดกันตามจริงการมี Hard Skills ติดตัวไว้อย่างเดียวนั้นอาจคงยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตของเราเติบโตก้าวหน้าได้ไปอย่างที่หวังได้
หากเราอยากพัฒนาทักษะตนเองให้ยกระดับไปอีกขั้น การมี
Soft Skills ติดตัวเอาไว้ จะยิ่งส่งเสริมชีวิต หรือการทำงานของเราให้ง่ายยิ่งกว่า รวมไปถึงช่วยเราทำงานให้มีประสิทธิภาพตามที่องค์กรมุ่งหวังได้สำเร็จอีกด้วย
Hard Skills and Soft Skills มีอะไรบ้าง?
ที่จริงแล้ว Hard Skills และ Soft Skills ทั้ง 2 ส่วนนี้สามารถอยู่ได้ในคน ๆ เดียวกันได้ ซึ่งบางทีเราอาจยังไม่รู้ว่าเรามีก็ได้ ว่าแล้วเรามาขยายความกันดีกว่าว่า Soft Skills คืออะไร? แล้วมีความแตกต่างจาก Hard Skills อย่างไรบ้าง
Soft Skills คือ?
Soft Skills คือทักษะ และความสามารถรวมไปถึง อุปนิสัย ทัศนคติต่าง ๆ ที่ช่วยให้เราทำงานร่วมกับผู้อื่น หรือคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี เช่น ทักษะการสื่อสาร การพูดโน้มน้าวใจ การฟัง ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ความคิดสร้างสรรค์ ภาวะการเป็นผู้นำ เป็นต้น
ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากเราเป็นพนักงานออฟฟิศก่อนที่เราจะเริ่มเข้ามาทำงานในบริษัท สิ่งที่องค์กรมองหานั้นเราควรต้องมี Hard Skills หรือทักษะเฉพาะตัว เช่น การออกแบบ UX/UI, การตัดต่อคลิปวิดีโอ ทักษะที่สามารถวัด หรือประเมินผลออกมาได้
แล้ว Soft Skill ที่พนักงานออฟฟิศส่วนใหญ่ควรมี เช่น ทักษะการทำงานร่วมกัน หรือทักษะการเปิดใจรับฟังผู้อื่น ตรงส่วนนี้เราอาจนำทักษะดังกล่าวไปใช้เพื่อติดต่อสื่อสารในการทำงานร่วมกับคนในองค์กรหลากหลายฝ่ายก็ได้ด้วย
และนี่ก็เป็นตัวอย่าง Soft Skill เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรานำมาเล่าให้ทุกคนได้เข้าใจว่าการมี Soft Skill นั้นสำคัญกับชีวิตมนุษย์ออฟฟิศในอนาคตมากแค่ไหน เราลองมาลงลึกกันดูดีกว่าว่าในปี 2023 Soft Skills ทักษะไหนบ้างที่จะช่วยชีวิตให้การทำงานของเราง่ายยิ่งกว่าเดิม
5 Soft skills ที่ควรมีใน ปี 2023
1. การควบคุมอารมณ์
เราทุกคนล้วนเป็นสัตว์สังคม ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่เราจะต้องมีการพูดคุย หรือติดต่อสื่อสารกันภายในองค์กร เพราะฉะนั้น การจัดการทางอารมณ์จึงถือเป็น ทักษะที่สำคัญมากของ Soft Skill ในการช่วยให้เราสามารถร่วมงาน และใช้ชีวิตกับคนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งในการทำงานหลาย ๆ ครั้ง สิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็คือ “ความขัดแย้งในการทำงาน” เช่น ระหว่างการประชุม เราอาจจะไม่เห็นด้วยกับหัวหน้า หรือเสนอแนวการทำงานกับทีม แต่เพื่อนในทีมอาจจะไม่เห็นด้วยกับเรา
ซึ่งในตัวอย่างด้านบน หากเราพยายามทำความรู้จักและทำความเข้าใจคนอื่น และจัดการความรู้สึกหรือควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แล้วนั้น เพียงเท่านี้เราจะกลายเป็นคนที่น่าไว้วางใจ น่าเคารพนับถือ รวมไปถึงเป็นที่รักของคนรอบข้างได้แบบทันตาเห็นเลยล่ะ
2. การทำงานที่ยืดหยุ่นและมีอิสระ
ความยืดหยุ่นในการทำงานก็ถือเป็นอีกหนึ่ง Soft Skills ที่ควรมีติดตัวไว้ หากเรามีปัญหาเรื่องการจัดการกับความเครียดไม่ดี มีความกดดันตัวเองมากเกินไป จนทำให้เราไม่มีความยืดหยุ่นในตัวเอง เราอาจกำลังเผชิญปัญหาเรื่อง “
ภาวะหมดไฟในการทำงาน” ซึ่งอาจนำไปสู่ ภาวะแรกเริ่มของ “
โรคซึมเศร้า” ก็ได้นะ
ในทางกลับกัน หากเรามีความยืดหยุ่นและไม่ได้รับแรงกดดันจากในการทำงานมากจนเกินไป นั่นจะทำให้เราสามารถจัดการความเครียดได้ง่ายขึ้น มีแรงบันดาลใจในการทำงาน แถมยังช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับหัวหน้า และเพื่อนร่วมงานได้ดีอีกด้วย
3. ปรับตัวและเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ
ทุกคนคงคุ้นเคยกับวลีฮิตที่พูดว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” สังคมการทำงานก็เช่นกัน ความสามารถในการปรับตัวและเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ คือหนึ่ง Soft Skill ที่จำเป็นอย่างยิ่งในยุคนี้ ที่อะไร ๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นผู้คน เครื่องมือ หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นต้น
ซึ่งในแง่ของวัฒนธรรมองค์กร เมื่อเราเข้าไปอยู่ในสังคมของการทำงานแบบเต็มตัวแล้ว เราอาจจะต้องทำตัวให้กลมกลืนกับวัฒนธรรมองค์กรใหม่ที่เข้าไปอยู่ โดยการนำตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนั้น และไม่ปิดกั้นการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถทำงานภายในองค์กรได้มีประสิทธิภาพ และราบรื่นยิ่งขึ้น
การนำธุรกิจเข้าตลาดหุ้น จะทำให้สามารถขยายธุรกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการมีผู้ร่วมลงทุนที่ดี และน่าเชื่อถือที่ส่งผลให้การบริหารธุรกิจนั้นมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด อีกทั้งยังได้รับคอนเนคชั่นดี ๆ ที่สามารถส่งเสริมการดำเนินธุรกิจนั้น ๆ ออกสู่ตลาดในต่างประเทศได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
4. จัดการเวลา บริหารเวลา ให้สอดคล้องกับงานที่ได้รับมอบหมาย
งานทุกสายอาชีพเราทุกคนล้วนเคยเจอเหตุการณ์ทำงานเสร็จไม่ทันตามเวลา จนทำให้ส่งงานตามเดดไลน์ไม่ทัน ซึ่งสิ่งนี้คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร และคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ดังนั้น “การบริหารเวลา” จึงเป็นอีกหนึ่ง Soft Skill ที่เราควรมีเป็นอย่างยิ่ง เพราะทักษะนี้จะช่วยให้เราจัดการเวลา และสามารถทำงานได้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น
โดยในปัจจุบันมี Tools และวิธีช่วยจัดสรรเวลามากมายที่ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายสำเร็จตามเดดไลน์ที่กำหนดไว้ เช่น การใช้แอปฯ Planner ที่สามารถสร้างโน้ต ปฏิทิน บันทึกการทำงานในรายวัน และรายเดือนต่าง ๆ ซึ่งแอปลิเคชันบางตัวนั้นยังสามารถแชร์ไฟล์เป็น PowerPoint, Excel, หรือไฟล์ PDF ได้ หากเรานำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ร่วมกับการบริหารจัดการตารางเวลา เราอาจมีเวลาในชีวิตเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยจัดการชีวิตให้ง่ายขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน
5. พักผ่อนทั้งทางร่างกายและจิตใจ การหาเวลาพักผ่อน
การที่สมอง และจิตใจได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ จะทำให้เราได้ปลดล็อกทักษะใหม่ ๆ และสามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้จะสามารถนำมาปรับใช้เข้ากับการทำงานของเราได้เป็นอย่างดี : ผลวิจัยจาก Harvard Medical School
หากเรามีเวลาว่างไปเที่ยวได้…จงออกไปเที่ยวซะเถอะ
การไปเที่ยวนอกจากจะช่วยให้ได้ผ่อนคลาย และเป็นผลดีต่อสุขภาพเราแล้ว ยังช่วยให้คุณภาพงานของเรานั้นดีขึ้นตามอีกด้วย เพราะการที่เราก้าวออกไปเจอโลกใหม่ ๆ ทำให้เราได้เจอมุมมองที่กว้างขึ้นทั้งคน สถานที่ วัฒนธรรม บรรยากาศต่าง ๆ ทำให้เรารู้ว่าโลกใบนี้ยังมีสิ่งใหม่ ๆ รอให้เราเรียนรู้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
นอกจาก Hard Skills เฉพาะตัวที่เราได้ฝึกฝน และเรียนรู้มาเป็นอย่างหนักตลอดการใช้ชีวิต 5 Soft Skills ที่กล่าวมาข้างต้น ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ถ้าเราสามารถนำ Soft Skills เหล่านี้ ไปปรับใช้ในการทำงานให้เหมาะสมกับตัวเองได้ การใช้ชีวิตในทุก ๆ วันของเราคงง่ายขึ้นไม่น้อย ลองไปฝึกกันดู หากใครกำลังหา
ไอเดียในการพัฒนาตัวเองอยู่ หวังว่าบทความนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้คุณนำไปต่อยอดได้