ภาษีมรดก วางแผนดี มีแต่ได้ไม่ส่งต่อภาระให้ลูกหลาน
รอบรู้เรื่องภาษี
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

ภาษีมรดก วางแผนดี มีแต่ได้ไม่ส่งต่อภาระให้ลูกหลาน

icon-access-time Posted On 28 พฤศจิกายน 2567
By Krungsri The COACH
“โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เว้นเสียแต่ความตายและภาษี” เป็นคำกล่าวของ เบนจามิน แฟรงคลิน นักวิทยาศาสตร์ และรัฐบุรุษผู้สร้างชาติของสหรัฐอเมริกา บ่งบอกถึงความสำคัญของเรื่องภาษีที่เป็นสิ่งที่ต้องพบเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต่างจากความตาย และเหมือนตลกร้าย ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้ว ความตายและภาษีก็ยังมาบรรจบกันอีก เพราะทรัพย์สินที่ส่งต่อไปถึงคนข้างหลังก็ยังต้องพัวพันกับภาษีอยู่ดี

ในภาพยนตร์ที่เป็นกระแสระดับประเทศ เรื่อง “วิมานหนาม” เมื่อตัวละคร “เสก” เสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน โดยไม่ทันได้สั่งเสีย ทำให้ที่ดินสวนทุเรียนต้องถูกส่งต่อเป็นมรดก ทำให้เกิดความวุ่นวายตามมา ว่ามรดกจะถูกส่งไปที่ใคร? ระหว่าง แม่แสง (แม่ของเสก) หรือ ทองคำ (คนรักของเสก) รวมถึงที่ดินสวนทุเรียนจะต้องเสียภาษีหรือไม่ ถ้าต้องเสียภาษีจะต้องเสียเท่าไร? แม้ความตายและภาษีจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็จริง แต่ก็เป็นสิ่งที่เตรียมวางแผนไว้ได้ วันนี้ Krungsri The COACH มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับภาษีมรดก แบบเข้าใจง่าย ๆ มาฝากทุกคนกัน

ภาษีมรดก คืออะไร

ภาษีมรดก หรือภาษีการรับมรดก คือ ภาษีที่เก็บจากมูลค่ามรดกที่ทายาทหรือผู้รับมรดกแต่ละรายได้รับจากกองมรดก โดยที่มูลค่ามรดกสุทธิรวมเกิน 100 ล้านบาท มีกรมสรรพากรเป็นหน่วยงานจัดเก็บภาษี ดังนั้นหากทรัพย์สินที่ส่งมอบให้ทายาทแต่ละรายไม่เกิน 100 ล้านบาท ก็สบายใจได้ว่าไม่มีเรื่องภาษีมรดกมารบกวนแน่นอน
 
ภาษีมรดก คืออะไร

ทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีมรดก มีอะไรบ้างตามกฎหมาย
ทรัพย์สินที่ถูกกำหนดให้เสียภาษีมรดกจะเป็นสินทรัพย์ที่มีการจดทะเบียน ได้แก่
  1. อสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน บ้าน อาคาร คอนโดมิเนียม
  2. หลักทรัพย์ตามกฎหมาย เช่น หุ้น หุ้นกู้ กองทุนรวม
  3. เงินฝากธนาคาร
  4. ยานพาหนะ เช่น รถยนต์ และรถจักรยานยนต์
  5. ทรัพย์สินทางการเงินที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตร ตั๋วเงิน หุ้นกู้

มูลค่าที่ถูกใช้คำนวณภาษีมรดกจะใช้ราคาประเมิน หรือราคาตลาด ณ วันที่ได้รับมรดก ทั้งนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้รับจากมรดกจะต้องถูกคำนวณเพื่อเสียภาษีมรดกทั้งหมด เพราะยังมีทรัพย์สินที่ได้รับการยกเว้นภาษีมรดกอีกด้วย ได้แก่
  1. สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ไม่มีการขึ้นทะเบียนระบุชื่อเจ้าของ เช่น เครื่องประดับ ภาพวาด วัตถุโบราณ ประติมากรรม
  2. สินไหมจากประกันชีวิต ไม่นับเป็นมรดก เพราะเงินค่าสินไหมจากการทำประกันชีวิตที่ระบุยกให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่เกิดขึ้นหลังจากผู้เอาประกันเสียชีวิตแล้ว
  3. ทรัพย์สินที่ยกให้สาธารณประโยชน์ ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ
 
ทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีมรดก

ผู้รับมรดกต้องเสียภาษีมรดกเท่าไร

ถ้ามรดกที่ผู้เสียภาษีได้รับจากเจ้าของมรดกแต่ละรายมีมูลค่าสุทธิ เกิน 100 ล้านบาท ผู้รับมรดกจะต้องเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท
 
มูลค่าทรัพย์สินมรดก อัตราภาษี
ส่วนที่ 1 มูลค่าไม่เกิน 100 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษีมรดก
ส่วนที่ 2 มูลค่า เกิน 100 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษีมรดก กรณีผู้รับเป็น คู่สมรส ที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย
5% กรณีผู้รับเป็น บุพการี (พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย) หรือ ผู้สืบสันดาน (ลูก หลาน เหลน ลื่อ)
10% กรณีผู้รับเป็นผู้อื่น
ดังนั้น เมื่อย้อนกลับมายังมรดกของเสกในเรื่องวิมานหนาม สวนทุเรียนซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกกำหนดให้เสียภาษีมรดก และผู้ได้รับมรดกคือคุณแม่แสง หากที่ดินมูลค่าไม่ถึง 100 ล้านบาท แม่แสงจะไม่ต้องเสียภาษีมรดก แต่หากที่ดินมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท แม่แสงจะเสียภาษีในอัตรา 5% ของมูลค่าที่เกิน 100 ล้านบาทนั่นเอง
 
วิธีวางแผนภาษีมรดก

เทคนิควางแผนภาษีมรดกให้ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

ก่อนอื่นเราต้องเช็กทรัพย์สินทั้งหมดของเราก่อนว่า มีทรัพย์สินที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีมรดกเกินกว่า 100 ล้านบาทหรือไม่ หากมรดกที่ทายาทได้รับมีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท และเข้าเกณฑ์ภาษีมรดก โดยวิธีประหยัดภาษีมรดกมี 2 วิธีดังนี้
 

วิธีที่ 1 ทยอยส่งมอบทรัพย์สินตั้งแต่ตอนมีชีวิต

หลังจากสำรวจทรัพย์สินของตนเองแล้ว หากทรัพย์สินใดที่ไม่จำเป็นต้องถือครองต่อ อาจส่งมอบไปยังทายาทได้ทันที หรืออสังหาริมทรัพย์ ที่ยังจำเป็นต้องใช้งานอยู่ เช่น อสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย หรือปล่อยเช่า จะสามารถจดทะเบียนสิทธิอาศัยเพื่อให้สามารถอยู่อาศัยได้ หรือสิทธิเก็บกินเพื่อให้ยังสามารถได้รับค่าเช่าอยู่ แม้เปลี่ยนชื่อเจ้าของผู้ถือครองไปแล้ว โดยสามารถรับการยกเว้นภาษี หากเป็นการได้รับจาก บุพการี ผู้สืบสันดาน เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ต่ำกว่าปีละ 20 ล้านบาท และจากบุคคลอื่น ซึ่งมิใช่บุพการี ผู้สืบสันดาน คู่สมรส เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ต่ำกว่าปีละ 10 ล้านบาท ต่อปีภาษี
 
เทคนิคการวางแผนภาษีมรดกให้ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
 

วิธีที่ 2 ส่งต่อมรดกเป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

สามารถส่งมอบมรดกด้วยการทำประกันชีวิต โดยระบุผู้ที่ต้องการส่งมอบทรัพย์สินเป็นผู้รับผลประโยชน์

ตัวอย่างเช่น คุณห่วงใย มีทายาทเป็นบุตรทั้งหมด 3 คน และมีทรัพย์สินจำนวน 450 ล้านบาท โดยคุณห่วงใยต้องการมอบทรัพย์สินเป็นมรดกให้ทายาททั้ง 3 คน คนละ 150 ล้านบาท ซึ่งเข้าเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษีมรดกในส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท หากไม่ได้วางแผนภาษีมรดก บุตรทั้ง 3 คน จะต้องเสียภาษีมรดกคนละ 2.5 ล้านบาท (50 ล้าน x 5%)

ดังนั้น คุณห่วงใยสามารถวางแผนประหยัดภาษีมรดกได้ตามตารางด้านล่างนี้
 
  วิธีที่ 1
ทยอยส่งมอบทรัพย์สิน
ตั้งแต่ตอนมีชีวิต
วิธีที่ 2
ส่งต่อมรดกเป็นทรัพย์สิน
ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
แนวทางประหยัดภาษีมรดก
  1. ส่งมอบทรัพย์สิน 60 ล้านบาท ทยอยส่งมอบ 3 ปี ปีละ 20 ล้านบาท
  2. ส่วนที่เหลือ 90 ล้านบาท ส่งมอบเมื่อเสียชีวิต
 
  1. ส่งมอบทรัพย์สิน 20 ล้านบาท ส่งมอบ 1 ปี
  2. ทำประกันชีวิตโดยกำหนดค่าสินไหม 40 ล้านบาท
  3. ส่วนที่เหลือ 90 ล้านบาท ส่งมอบเมื่อเสียชีวิต
สิ่งที่ทายาทแต่ละราย จะได้รับ ทรัพย์สิน 90 ล้านบาท
ทรัพย์สิน 90 ล้านบาท และสินไหมจากประกัน 40 ล้านบาท
ภาษีมรดกที่ทายาทแต่ละรายต้องเสีย ไม่ต้องเสียภาษี ไม่ต้องเสียภาษี
รวมทรัพย์สินที่ทายาทแต่ละรายได้รับ 150 ล้านบาท 150 ล้านบาท
ดังนั้น ภาษีมรดกเป็นเรื่องที่สำคัญ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในเจ้ามรดกที่มีทรัพย์สินมาก การวางแผนที่ดีจะช่วยให้ ลดภาระทางภาษี ส่งมอบทรัพย์สินไปยังทายาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนอกจากเรื่องภาษีที่สำคัญแล้ว การจัดทำพินัยกรรมแบ่งทรัพย์สินให้ชัดเจน และควรอัปเดตพินัยกรรมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ตรงตามจุดประสงค์ที่เจ้าของมรดกต้องการจะช่วยให้ทรัพย์สินถูกส่งมอบตามเจตนารมณ์ได้อย่างราบรื่น และสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวในอนาคตได้


อ้างอิง
pym logo
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา