กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund) หรือ LTF กองทุนยอดฮิตของมนุษย์เงินเดือน ได้มีการเปลี่ยนแปลงการถือครองจาก 5 ปี เป็น 7 ปีปฎิทิน ซื้อได้ตั้งแต่ปี 2559 และในปี 2565 เป็นปีแรกที่ LTF ครบเงื่อนไขการถือครองและสามารถเริ่มทยอยขายออกมาได้ แต่อย่างที่ทราบตลาดหุ้นไทยยังค่อนข้างมีความผันผวน และท่ามกลางความผันผวนที่เกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจว่ากองทุน LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอน ยังมีผลขาดทุนอยู่ จึงยังไม่อยากขายออก จะทำอย่างไรดี จะถือไว้เพื่อรอวันที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาก่อน มีความหวังแค่ไหน หรือหากจะขาย เพื่อนำเงินไปต่อยอดลงทุนอย่างอื่น หรือย้ายไปกองทุนอื่นดีกว่ากัน คำถามเหล่านี้เรามีคำตอบ
ตรวจสอบผลการดำเนินงานติดลบหรือไม่
สำหรับผู้ที่กังวลว่า LTF ติดลบ ทำให้ไม่อยากขาย เบื้องต้นให้ตรวจสอบก่อนเลยว่า ติดลบจริงหรือไม่ โดยต้องคำนวณผลประโยชน์อื่น ๆ เข้าไปด้วย ได้แก่
- เงินปันผล หลายครั้งเวลาเข้าดูกองทุน LTF แล้วเห็นตัวแดง ความเป็นจริงอาจไม่ติดลบอย่างที่คิด เพราะกองทุนส่วนใหญ่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ถ้าเราคำนวณเงินปันผลเข้าไปด้วย จากที่ติดลบมาก อาจจะติดลบน้อย หรืออาจมีกำไรขึ้นมาก็ได้
- สิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่เราได้รับไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งหากใช้สิทธิลดหย่อนเต็มวงเงิน 500,000 บาท จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีไปแล้ว 35% ยกตัวอย่างเช่น เมื่อ 7 ปีที่แล้ว หากฐานภาษีเราอยู่ที่ 25% ปัจจุบันกองทุนติดลบอยู่ 30% เท่ากับติดลบแค่ 5% ถ้าปัจจุบันเรามีผลขาดทุนกองทุน LTF อยู่ 15% หักลบกับสิทธิทางภาษีที่ได้รับ กลายเป็นว่าได้กำไร 5%% (ยังไม่นับรวมเงินปันผล) เป็นต้น
ถือต่อรับปันผล หรือเปลี่ยนกองทุนใหม่
หลังตรวจสอบผลการดำเนินงานกองทุน LTF ที่เราถือไว้แล้ว ยังมีทางเลือกที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับการลงทุนได้ โดยมี 2 ทางเลือก ดังนี้
- ทางเลือกแรก “ถือต่อ” การถือต่อไป แม้จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีแล้ว แต่เรายังได้เงินปันผลระหว่างทาง ยิ่งช่วงนี้ดัชนีหุ้นไทยเริ่มปรับตัวขึ้น ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนอยู่ในทิศทางที่ดี มีโอกาสได้รับตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้น
- ทางเลือก 2 “เปลี่ยนกองการลงทุนใหม่” เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนแล้ว เราสามารถขายหน่วยลงทุนได้ และนำเงินไปลงทุนในกองทุนใหม่ ๆ ที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนมากกว่าเดิม
ถ้ามองใน 2 มุมนี้ จะทำให้เราคลายความกังวลเรื่องผลขาดทุนของกองทุนได้ และถ้าหากอยากจะลงทุนต่อ ก็สามารถย้ายไปลงทุนในกองทุน SSF และ RMF ได้ ซึ่งก็จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน รวมทั้งกองทุนใหม่ Thai ESG ที่มีการปรับเงื่อนไขใหม่ให้ใกล้เคียงกับสิทธิประโยชน์ของกองทุน LTF ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีโอกาสเลือกลงทุนได้มากขึ้น ที่สำคัญได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและเงินปันผลต่าง ๆ ตามระยะเวลาของการลงทุน ที่จะทำให้เงินของเรามีโอกาสงอกเงยได้ในอนาคต
สำหรับผู้สนใจลงทุนในกองทุนที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์ด้านภาษี เราขอแนะนำกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นไดนามิคเพื่อเลี้ยงชีพ
(KFDNMRMF) ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET หรือ MAI ตราสารทุน หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า รวมถึงหุ้นที่อยู่ในระหว่าง IPO และกองทุนเปิดกรุงศรีสมาร์ทอินคัมเพื่อการเลี้ยงชีพ
(KFSINCRMF) เน้นลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ ที่ชื่อว่า “PIMCO GIS Income Fund (Class I-Acc)” เป็นกองทุนหลัก กระจายการลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก และกองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลแบรนด์อิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ
(KFGBRANRMF) เน้นลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ “Morgan Stanley Investment Fund - Global Brands Fund (Class Z)
นอกจากนี้ยังมีกองทุน Thai ESG ยอดนิยม ที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนอย่างยั่งยืนอย่างกองทุนเปิดกรุงศรีพันธบัตรรัฐบาลไทยเพื่อความยั่งยืน-ไทยเพื่อความยั่งยืนสะสมมูลค่า
(KFGBTHAIESG-A) ซึ่งจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ย รวมถึงหุ้นกู้หรือตราสารภาครัฐเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ green bond พันธบัตรหรือหุ้นกู้หรือตราสารเพื่อความยั่งยืน หรือ sustainability bond และยังมี
กองทุนเปิดกรุงศรีเอ็นแฮนซ์เซ็ทไทยเพื่อความยั่งยืน-ไทยเพื่อความยั่งยืนสะสมมูลค่า (KFTHAIESGA) เน้นการลงทุนในหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนใน SET หรือ MAI ที่ได้รับการคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือสถาบันอื่นที่ก.ล.ต. ยอมรับว่ามีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม หรือด้านความยั่งยืน โดยสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ที่สามารถให้ข้อมูลและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุน ได้ที่โทร. 02-296-5959 วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 10.00 – 17.00 น. หรือฝากข้อมูลเพื่อให้
ผู้เชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษี ติดต่อกลับ
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุน ก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- กองทุน Thai ESG เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการออมระยะยาว และสนับสนุนการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน
บทความโดย
ปริตา ธิติปรีชาพล
กลุ่มบริการที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา