ในขณะที่หลายประเทศกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เศรษฐกิจเวียดนามกลับเติบโตอย่างโดดเด่น และน่าจับตามอง จากการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ และนโยบายที่เป็นมิตรต่อนักลงทุน ทำให้เวียดนามกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการจากทั่วโลก รวมถึงผู้ประกอบการไทยด้วยเช่นกัน วันนี้ Krungsri The COACH จะพาทุกท่านไปสำรวจโอกาสทางธุรกิจ และเหตุผลที่ทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนกัน
ทำไมเวียดนามถึงเป็นประเทศที่เหมาะกับการทำธุรกิจ
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เวียดนามได้พัฒนาตัวเองจนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน มาดูกันว่า อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เวียดนามน่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการ
เศรษฐกิจเวียดนามกำลังเติบโตอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมทางการเงิน โดยถือเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงเป็นอันดับสองในภูมิภาคอาเซียน รองจากสิงคโปร์ ความสำเร็จนี้ขับเคลื่อนด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรม Fintech ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว สะท้อนได้จากสัดส่วนธุรกรรมธนาคารที่ดำเนินการผ่านช่องทางดิจิทัลสูงถึง 90% ในปี 2567 และคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2568
เวียดนามมีตลาดที่ใหญ่ขึ้น
เศรษฐกิจของเวียดนามกำลังขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตามการขยายตัวของภาคการผลิต และการลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้าสู่เวียดนาม โดยนาย Pham Minh Chinh นายกรัฐมนตรีของเวียดนามได้เปิดเผยข้อมูลว่า ในปี 2567 GDP ของเวียดนามจะเติบโตขึ้น 7% และในปี 2568 คาดว่า ขนาด GDP ของเวียดนามจะมีมูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และรัฐบาลยังมีการตั้งเป้าให้ GDP เติบโตขึ้น 7.5% - 8.5% ต่อปี ภายในปี 2573 ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ จะทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีอุตสาหกรรมทันสมัย และประชากรส่วนใหญ่จะมีรายได้เฉลี่ยปานกลางค่อนสูง ทำให้กำลังซื้อในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ และทำให้เวียดนามมีตลาดที่ใหญ่ขึ้นนั่นเอง
ชาวเวียดนามมีกำลังซื้อสูงมาก
รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันเวียดนามมีประชากร 98.22 ล้านคน ซึ่งเป็นวัยทำงานอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปมากถึง 56.15 ล้านคน และมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 3.25 - 4.68 ล้านดองเวียดนามต่อเดือน (137.31 – 197.73 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4,774.96 – 6,876.06 บาท)
ที่สำคัญชาวเวียดนามยังมีอัตราการรู้หนังสือสูงกว่า 90% ของประชากรทั้งหมด จึงทำให้เวียดนามมีแรงงานคุณภาพดีเป็นจำนวนมาก คนส่วนใหญ่มีรายได้เพียงพอต่อการใช้ชีวิต และพร้อมที่จะจับจ่ายใช้สอยสินค้าต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือ จำนวนกลุ่มผู้สูงอายุ หรือประชากรที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปในเวียดนามก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ซึ่งส่งผลให้พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภคชาวเวียดนามในกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า และบริการมากขึ้น พร้อมที่จะจ่ายเพิ่มเพื่อสินค้าที่มีคุณภาพดี โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
ปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยส่งเสริมให้เวียดนามน่าลงทุนทำธุรกิจ
นอกเหนือจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งแล้ว เวียดนามยังมีปัจจัยสนับสนุนอีกหลายประการที่ดึงดูดผู้ประกอบการจากทั่วโลก มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
มีข้อตกลงการค้าเสรีกับหลายประเทศ
ข้อตกลงการค้าเสรีเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยให้การลงทุนในเวียดนามน่าสนใจมากขึ้น เพราะช่วยลดอุปสรรคทางการค้า และเพิ่มโอกาสในการส่งออกไปยังตลาดสำคัญทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น
- ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ที่เปิดโอกาสการค้ากับประเทศสมาชิก 11 ประเทศ ได้แก่ บรูไน แคนาดา ชิลี มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ เปรู สิงคโปร์ เวียดนาม ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
- ความตกลงการค้าเสรีเวียดนาม-สหภาพยุโรป (EVFTA) ที่ช่วยลดภาษีการค้าระหว่างเวียดนาม และสหภาพยุโรป ทำให้เวียดนามมีความได้เปรียบด้านการค้า สามารถดึงดูดนักลงทุน และทำให้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตขึ้นได้
- ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่เชื่อมโยงการค้ากับประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
มีแรงงานคุณภาพดีจำนวนมาก และค่าจ้างอยู่ในระดับต่ำ
เวียดนามมีจุดแข็งด้านทรัพยากรบุคคลที่โดดเด่น ด้วยประชากรวัยแรงงานกว่า 56 ล้านคน ที่มีทั้งทักษะ และความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ อัตราการรู้หนังสือสูงถึง 90% ขณะที่ค่าแรงยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ โดยค่าแรงขั้นต่ำในเขตเมืองอยู่ที่ประมาณ 4.68 ล้านดอง (ราว 6,800 บาท) ต่อเดือน ทำให้มีความได้เปรียบทางธุรกิจในด้านของต้นทุนการผลิต
มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ
รัฐบาลเวียดนามให้ความสำคัญกับการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เห็นได้จากการปรับปรุงกฎหมาย และนโยบายที่เอื้อต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ปี 2020 ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกับนักลงทุนท้องถิ่น และสามารถถือหุ้นได้มากกว่า 50% ในหลายอุตสาหกรรม ซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการอย่างมากเลยทีเดียว
5 สิทธิประโยชน์การลงทุนในเวียดนามที่ช่วยให้เปิดธุรกิจได้ง่ายขึ้น
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น มาดู 5 สิทธิประโยชน์หลักที่นักลงทุนจะได้รับเมื่อเข้าไปลงทุนในเวียดนามกัน
1. การยกเว้นและลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล
นักลงทุนจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 2-4 ปี และได้รับการลดหย่อนภาษี 50% อีก 4-9 ปี โดยเฉพาะการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ* หรืออุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งอาจได้รับอัตราภาษีพิเศษเพียง 5-10% นานถึง 15 ปี
*เขตเศรษฐกิจพิเศษที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ (Special Economic Zone : SEZ) ได้แก่ เขต Van Don ในจังหวัด Quang Ninh เขต Van Phong ในจังหวัด Khanh Hoa และเขต Phu Quoc ในจังหวัด Kien Giang โดยจะมีจุดเด่นตรงนโยบายยกเว้นภาษีนิติบุคคล 5 ปี และมีสิทธิ์ถือครองที่ดินได้ 99 ปี
2. การยกเว้นและลดหย่อนภาษีการนำเข้า
รัฐบาลเวียดนามสนับสนุนการนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับการผลิต โดยให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีนำเข้า ช่วยลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
3. การสนับสนุนด้านที่ดิน
นักลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรืออุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น รถยนต์ เครื่องจักร หรือสิ่งทอ สามารถขอยกเว้นค่าเช่าที่ดินในช่วงระยะเวลาหนึ่งได้ หรือลดหย่อนค่าเช่าที่ดิน ทำให้ต้นทุนเริ่มต้นในการทำธุรกิจลดลง และมีความคุ้มค่าในการลงทุนมากขึ้น
4. การสนับสนุนด้านการเงิน
มีโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับอุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมายของรัฐบาลเวียดนาม รวมถึงการสนับสนุนด้านการพัฒนาบุคลากรผ่านโครงการฝึกอบรมต่าง ๆ เพื่อยกระดับศักยภาพการผลิต
ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมายของรัฐบาลเวียดนาม
- อุตสาหกรรมผลิตอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร ชิ้นส่วนยานยนต์
- อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวทางทะเล ในเขต SEZ
- อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าเกษตรและอาหาร สิ่งทอและเสื้อผ้า เครื่องประดับและเครื่องสำอาง
- การวิจัยและพัฒนา (R&D) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Software) การศึกษาและการฝึกอบรมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
5. การสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา
รัฐบาลให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อส่งเสริมนวัตกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ
จากสิทธิประโยชน์ และปัจจัยสนับสนุนตามที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้เวียดนามเป็นจุดหมายการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทย Krungsri The COACH จึงขอแนะนำ 3 เทรนด์ธุรกิจที่น่าจับตามองในเวียดนามปี 2025
3 เทรนด์ธุรกิจน่าสนใจในเวียดนามในปี 2025
ด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ มากมายในเวียดนาม โดยเฉพาะใน 3 กลุ่มธุรกิจต่อไปนี้
1. ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค
ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ในเวียดนามกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะสินค้าที่เน้นคุณภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเติบโตของรายได้ต่อหัว และการขยายตัวของชนชั้นกลางทำให้ผู้บริโภคชาวเวียดนามพร้อมจ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะนำสินค้าในกลุ่ม FMCG เข้ามาขายในตลาดเวียดนามมากขึ้น เพราะสินค้าไทยได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคเวียดนามในด้านคุณภาพ และราคาที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว
2. ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce)
ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ในตลาดเวียดนามมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น และพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นตามไปด้วย ผู้ประกอบการสามารถใช้ช่องทางนี้เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคชาวเวียดนามได้โดยตรง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี
ตัวอย่างเว็บไซต์ E-Commerce ในเวียดนามที่ได้รับความนิยม
- Cho Tot เป็นเว็บไซต์อันดับ 1 ของตลาด C2C ในเวียดนาม มียอดผู้เข้าชมมากกว่า 10 ล้านรายต่อเดือน
- Sendo เป็นเว็บไซต์ช้อปปิ้งที่เกี่ยวกับสินค้าแฟชั่นและเครื่องสำอาง
- TIKI เป็นเว็บไซต์ขายของแบบ B2C มีสินค้าครอบคลุมตั้งแต่หนังสือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าแฟชั่น ความงาม และสุขภาพ
ซึ่งผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอยู่แล้ว หรือยังไม่ได้ทำ แต่มีความสนใจ ก็สามารถเข้าไปแข่งขันตลาดนี้ในเวียดนามได้เลย
3. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเวียดนามกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เกิดโอกาสในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และบริการนำเที่ยว โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้
สำหรับเมืองที่นักลงทุนต่างชาติจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเวียดนามในการเข้าไปทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ได้แก่ เกาะ Phu Quoc เกาะ Van Don และเมือง Bac Van Phong ซึ่งทั้ง 3 พื้นที่นี้ตั้งอยู่ในเขต SEZ (Special Economic Zone) ที่มีกฎหมายยกเว้นภาษี และถือครองที่ดินให้กับผู้ประกอบการต่างชาตินั่นเอง
Krungsri The COACH ขอเป็นส่วนหนึ่งพาธุรกิจไทยไปเติบโตในตลาดเวียดนามผ่าน Krungsri ASEAN LINK
การขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศอย่างเวียดนามอาจมีความท้าทาย แต่ด้วยบริการ
Krungsri ASEAN LINK เราพร้อมเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจตลาดอาเซียนอย่างลึกซึ้ง พร้อมนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่ออกแบบเฉพาะสำหรับธุรกิจของคุณ ช่วยดูแลตั้งแต่การเริ่มธุรกิจ การส่งออก รวมถึงหาความร่วมมือ หรือโอกาสใหม่ ๆ ในตลาด ด้วยเครือข่ายกรุงศรี และ MUFG ที่ครอบคลุมทั้งภูมิภาค เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดเวียดนาม
เศรษฐกิจเวียดนามยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก ด้วยปัจจัยสนับสนุนทั้งการขยายตัวของชนชั้นกลาง กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ ทำให้เวียดนามเป็นจุดหมายที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม การลงทุนในเวียดนามจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านและวางแผนอย่างรัดกุม เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ
อ้างอิง