ตั้งแต่เกิดจนตายมีสิ่งหนึ่งที่ผูกพันกับชีวิตคนเรานั่นก็คือ “เงิน” เราสัมผัสและใช้มันแทบทุกวันซื้อหาสิ่งที่เราต้องการในการดำรงชีวิตและตอบสนองความพึงพอใจ ตอนเด็กเป็นช่วงเวลาทอง เราไม่ได้ใช้เงินของตนเองแต่รู้จักมันผ่านการใช้จ่ายของพ่อแม่ วันแล้ววันเล่าซึมซับเรื่องเงินเข้ามาโดยไม่รู้ตัว ตอนเติบโตเป็นผู้ใหญ่เริ่มหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ ถึงเข้าใจว่าคนเรามีความต้องการเยอะแยะเต็มไปหมด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนคนอื่นเขา โดยมักเปรียบเทียบกับครอบครัวที่มีฐานะดีกว่า จึงเห็นความสำคัญของเงินมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ตอนอายุมากเข้าวัยเกษียณจนไม่ค่อยมีแรงทำงานหาเงินแล้ว การมีเงินอยู่กับตัวอุ่นใจกว่าเพราะยังคงต้องกินต้องใช้ทุกวันและเผื่อเจ็บหนักจะได้เอาไว้รักษาตัว ทำให้ตลอดชีวิตคนเราหนีเรื่องเงินไม่พ้นนั่นเอง
ทุกลมหายใจเข้าออกล้วนมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องจนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเราใช้เงินซื้อสิ่งเหล่านั้นมา แต่อย่างที่รู้กันว่าเงินเป็นเพียงสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ดังนั้นจริง ๆ แล้ว คนเราใช้สิ่งอื่นในชีวิตแลกกับของที่เราต้องการ โดยมนุษย์เงินเดือนและเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก เขาต้องทำงานหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงและใช้เวลาช่วงหนึ่งในชีวิตก่อนที่ได้เงินไปใช้จ่าย ซึ่ง “แรงกาย” และ “เวลา” คือ
ต้นทุนที่แท้จริง
สำหรับนักลงทุนและเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ เขาสร้างโมเดลการหาเงินแบบอัตโนมัติอาจทำเองบ้างแต่ส่วนมากให้คนอื่นทำ เปรียบเหมือนการยืมใช้แรงกายและเวลาของคนอื่นในลักษณะประโยชน์ต่างตอบแทนนั่นเอง ซึ่งผมมองว่า “เงินทุน” และ “ความเสี่ยง” คือต้นทุนที่แท้จริง ในบทความนี้ผมขอโฟกัสที่มนุษย์เงินเดือนเพื่อจำลองตัวเลขให้เห็นเป็นรูปธรรมว่าสิ่งที่เราสูญเสียนั้นไม่ใช่เงินแต่เป็นเวลา ส่วนแรงกายเป็นนามธรรมที่จับต้องยาก ผมขอให้พวกเรานึกถึงความเครียดจากการทำงาน ผมหงอกกับใต้ตาคล้ำ ภาวะมีลูกยาก และโรคภัยไข้เจ็บยอดฮิตของมนุษย์เงินเดือน แล้วจะเข้าใจว่าเราเสียอะไรถึงได้เงินมา
ใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง “IN TIME” จะเข้าใจได้ดีเลยครับ เขาจำลองสังคมโลกมนุษย์ในอนาคตที่ไม่ได้ใช้เงินซื้อของอีกต่อไปแต่ใช้เวลาที่เหลืออยู่บนโลกซื้อของแทน โดยมนุษย์ทุกคนมีเวลาที่เหลืออยู่บนโลกแสดงไว้บนข้อมือของตนเองและสามารถโอนเวลาให้คนอื่นได้ ถ้าหากเวลาหมดเหลือศูนย์ก็หมายถึงต้องจบชีวิตทันที ซึ่งเป็นหนังที่ผมอยากแนะนำให้ไปหาชมดูนะครับ เพราะหนังสะท้อนให้เห็นความสำคัญของเวลาที่เหลืออยู่บนโลก ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดและมีค่ามาก ดังนั้นคนเราควรใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่าที่จะทำได้ ผมไม่ได้หมายถึงทำงานหาเงินตลอดเวลา แต่หมายถึงการใช้เวลาบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ในชีวิตทั้งในด้านการงาน เงิน สุขภาพ ครอบครัว เป็นต้น ทีนี้ลองมาคำนวณดูครับว่าของแต่ละชิ้นที่คุณซื้อมาต้องใช้เวลาทำงานเท่าไร ซึ่งคนแต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน คนที่มีรายได้สูงย่อมใช้เวลาน้อยกว่าคนที่มี
รายได้น้อย
ตามตารางด้านล่างแสดงให้เห็นความเป็นจริงว่ารายได้ต่อเดือนหลักหลายหมื่นบาทยังไม่ได้หักต้นทุนส่วนเพิ่มที่เกิดจากการออกจากบ้านมาทำงาน และตัวเลขหลักหลายหมื่นบาทยังหลอกตาให้คิดว่ามีรายได้สูง แต่แท้จริงแล้วรายได้เพียงไม่กี่ร้อยบาทต่อชั่วโมง อย่างนาย ก มีรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน เท่ากับ 101.6 บาทต่อชั่วโมงทำงาน และ นาย ข มีรายได้ 40,000 บาทต่อเดือน เท่ากับ 207.8 บาทต่อชั่วโมงทำงาน ทำให้เราตระหนักคิดได้ว่าตนเองมีรายได้ไม่สูงต้องใช้เงินอย่างรู้คุณค่า
นาย ก |
นาย ข |
ทำงานประจำมีรายได้ 20,000 บาท
หักค่าเดินทางมาทำงาน -2,000 บาท
หักค่าอาหารแพงขึ้นแถวทำงาน -1,000 บาท
หักค่าประกันสังคม -750 บาท
รายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย 16,250 บาท
หรือ 812.5 บาทต่อวันทำงาน
หรือ 101.6 บาทต่อชั่วโมงทำงาน |
ทำงานประจำมีรายได้ 40,000 บาท
หักค่าเดินทางมาทำงาน -4,000 บาท
หักค่าอาหารแพงขึ้นแถวทำงาน -2,000 บาท
หักค่าประกันสังคม -750 บาท
รายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย 33,250 บาท
หรือ 1,662.5 บาทต่อวันทำงาน
หรือ 207.8 บาทต่อชั่วโมงทำงาน |
ซื้อโทรศัพท์สมาร์ทโฟน 40,000 บาท
ต้องทำงาน 50 วัน หรือ 394 ชั่วโมง
|
ซื้อโทรศัพท์สมาร์ทโฟน 40,000 บาท
ต้องทำงาน 24 วัน หรือ 193 ชั่วโมง |
ซื้อรถยนต์รวมดอกเบี้ย 700,000 บาท
ต้องทำงาน 862 วัน หรือ 6,890 ชั่วโมง |
ซื้อรถยนต์รวมดอกเบี้ย 700,000 บาท
ต้องทำงาน 422 วัน หรือ 3,369 ชั่วโมง |
ซื้อคอนโดรวมดอกเบี้ย 3,000,000 บาท
ต้องทำงาน 3,693 วัน หรือ 29,528 ชั่วโมง |
ซื้อคอนโดรวมดอกเบี้ย 3,000,000 บาท
ต้องทำงาน 1,805 วัน หรือ 14,437 ชั่วโมง |
สินค้ายอดฮิตที่คนรุ่นใหม่ต้องมี ได้แก่ โทรศัพท์สมาร์ทโฟน รถยนต์ และคอนโด ลองคำนวณดูครับว่าต้องทำงานหนักนานแค่ไหนถึงจะมีเงินครอบครองเป็นเจ้าของได้ ดังนั้นต้องคิดให้รอบคอบก่อนซื้อว่าสิ่งของเหล่านี้จำเป็นกับชีวิตหรือไม่ และถ้าจำเป็นต้องไปซื้อที่ไหนถึงจะได้ราคาถูกที่สุด อีกมุมมองคือการหาเงินเก่งขึ้นก็ช่วยลดต้นทุนค่าเสียเวลาในชีวิตได้เป็นอันมาก สามารถเอาเวลาไปทำอย่างอื่นตามใจปรารถนา สรุปแล้วในชีวิตคนเราเงินก็สำคัญแต่ เวลา สุขภาพ ครอบครัว ก็สำคัญไม่แพ้กัน เราต้องจัดการเวลาให้สมดุลจนบรรลุเป้าหมายในชีวิตทุกด้านครับ