“
หนี้” เป็นคำที่หลายคนคุ้นหูกันดี และเป็นปัญหาเรื้อรังมานานสำหรับใครหลาย ๆ คน ที่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือในบางคนก็อาจจะใช้เกินตัวไปซะหน่อยคือเป็นหนี้บัตรเครดิต และแน่นอนว่าเมื่อเราเป็นหนี้ก็จะมีบางครั้งที่เราจ่ายหนี้ไม่ตรงบ้าง ขาดการส่งหนี้บ้าง ทำให้บางเดือนเจ้าหนี้ก็จะโทรมาทวงถามหนี้ ไม่เช่นนั้นก็จะโดนยึดทรัพย์สิน ซึ่งเราก็ควรที่จะปรับโครงสร้างหนี้เราใหม่ และการปรับโครงสร้างหนี้ก็มีได้ในหลายรูปแบบแต่ในวันนี้เราจะมาพูดถึงวิธี
“แฮร์คัทหนี้” เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ได้ตามไปอ่านกันต่อเลย
"แฮร์คัท" คืออะไร?
Hair Cut (แฮร์คัท) คือ กระบวน
การปรับโครงสร้างหนี้โดยลูกหนี้เจรจาขอส่วนลดจากเจ้าหนี้แล้วจ่ายหนี้ทั้งหมดเพื่อปิดบัญชีทันที พูดง่าย ๆ คือ ตกลงกับเจ้าหนี้ว่าจะลดหนี้ที่ติดค้างกันให้เหลือที่ต้องจ่ายคืนเท่าไหร่ โดยถ้าต้องการเคลียร์หนี้จบทันที ก็ทำการตกลงกับเจ้าหนี้ว่าจะขอลดหนี้ที่ติดค้าง จากนั้นก็ขอจ่ายหนี้ก้อนนั้นเพียงครั้งเดียว เช่น มียอดหนี้ 100,000 บาท ขอลดเหลือ 80,000 บาทแล้วจ่ายเพื่อปิดบัญชีทันที แต่หากไม่มีเงินเพียงพอในการเคลียร์หนี้ให้จบในครั้งเดียว ก็สามารถเจรจาขอลดหนี้ด้วยการจ่ายหนี้เป็นงวด ๆ ภายในเวลาที่กำหนด ขึ้นอยู่กับนโยบายช่วยเหลือของแต่ละธนาคาร ซึ่งส่วนใหญ่จะพิจารณาตามสภาพคล่องของลูกหนี้
ไม่อยากจ่ายหนี้เต็มจำนวน ชวนกันมา Hair Cut หนี้ดีมั้ย?
หลายคนอาจเคยได้ยินว่า การทำ Hair Cut หนี้ คือวิธีที่ธนาคารอยากได้เงินคืนเร็วขึ้น ไม่ต้องคอยติดตามทวงถามจนเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ธนาคารยอมลดหนี้บางส่วนดีกว่าเสียทั้งหมด ยังไงธนาคารก็ต้องยอม แต่ความจริงแล้วผลกระทบที่เกิดจากการทำ Hair Cut หนี้มีมากกว่าที่เคยได้ยินมาแน่นอน มาทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจทำแฮร์คัทหนี้กัน
ในมุมของลูกหนี้
การทำ Hair cut มีข้อดีหลัก ๆ ดังนี้
- ช่วยลดภาระหนี้เร็วขึ้น แม้จะมีเงินไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้เต็มจำนวน
- ไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยในระยะยาว
- ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อไม่มีหนี้คงค้าง
ข้อเสียของการทำ Hair Cut หนี้ คือ
- เสียประวัติการเป็นลูกค้าที่ดี การทำ Hair Cut ทำให้ธนาคารจะพิจารณาทำให้กับลูกค้าที่ประสบปัญหาทางด้านการเงินจริง ๆ ไม่สามารถชำระหนี้ตามปกติได้จนกระทบต่อประวัติการใช้สินเชื่อ ซึ่งธนาคารก็จะมีมาตราการในการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวอยู่แล้ว
- เสียโอกาสในการขอสินเชื่อ เนื่องจากประวัติการค้างชำระหนี้ในอดีต ทำให้ขอสินเชื่อใหม่ได้ยากขึ้น
- ภาระหนี้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากการค้างชำระ ตามระยะเวลาที่ค้าง
- เสียค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย ในกรณีที่ถูกสถาบันการเงินฟ้องคดี
- กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันและครอบครัว เนื่องจากกังวลกับภาระหนี้คงค้าง
ในมุมของธนาคาร
ประโยชน์ที่ธนาคารได้จากการทำ Hair Cut คือ
- การทำ hair cut หนี้ คือกระบวนการที่มีประโยชน์ต่อธนาคารอย่างมาก สามารถช่วยเหลือให้ลูกค้าผ่านวิกฤตหนี้ไปได้ ปลดภาระหนี้ได้เร็วขึ้น ไม่ลุกลามกลายเป็นวิกฤตหนี้เสีย จนธนาคารต้องเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่มีคุณภาพที่อาจได้รับผลกระทบจากวิกฤตที่เกิดขึ้น ทำให้เศรษฐศาสตร์การเงินของประเทศยังคงหมุนเวียนไปได้เป็นปกติ
การทำแฮร์คัทเป็นประเด็นที่มักถูกมองข้าม คล้ายภูเขาน้ำแข็งที่จมตัวอยู่ใต้น้ำ คนทั่วไปมองไม่เห็น และไม่ค่อยมีคนพูดถึง ภาพที่ทุกคนมองเห็นคือธนาคารก็ยังได้เงินคืนแม้จะไม่เต็มจำนวน ดีกว่าไม่ได้เลยจริง ๆ แล้วระหว่างเก็บหนี้ได้บางส่วนกับเก็บหนี้ไม่ได้เลย ที่สุดของปลายทางคือวิกฤตทางการเงินเหมือนกัน การทำ hair cut จึงช่วยให้ธนาคารวางแผนรับมือหรือผ่อนหนักเป็นเบาได้ ไม่ได้เกิดฉับพลันเหมือนกรณีที่สอง แค่นั้น!
- หากธนาคารไม่ต้องสำรองหนี้เสีย เพราะลูกหนี้มีวินัยทางการเงิน ธนาคารหรือสถาบันการเงินก็สามารถผ่อนคลายมาตรการการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงสามารถขยายการบริการไปยังกลุ่มลูกค้าที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินของธนาคารได้ เศรษฐกิจของประเทศก็สามารถพัฒนาไปได้อย่างยั่งยืน
ข้อเสียของ Hair Cut หนี้ในมุมมองธนาคาร
- ธนาคารมีส่วนสูญเสีย ได้รับหนี้ไม่เต็มจำนวน (ต้นไม่ครบ ดอกเบี้ยไม่ครบ)
- ธนาคารอาจต้องระมัดระวังในการให้สินเชื่อกับลูกค้ารายใหม่ (ในกรณีที่มีหนี้เสียจำนวนมาก และลูกค้าเจตนาค้างชำระเพื่อใช้สิทธิ์ในการขอ Hair Cut)
ประโยคที่หลายคนเคยพูดว่า “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” เดี๋ยวธนาคารก็ให้ส่วนลดเอง! เหล่านี้ยังเป็นประโยคที่ถูกต้องหรือไม่ จากที่เล่ามาทั้งหมดข้างต้น หวังว่าจะช่วยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการทำ Hair Cut ได้ชัดเจนขึ้นนะ
สรุป
ในวันที่เราตัดสินใจยื่นกู้ เพื่อนำมาเสริมสภาพคล่องไม่ว่าจะเป็นในส่วนธุรกิจ หรือส่วนตัว ก็อยากให้ลูกหนี้วางแผนทางการเงินให้ดี เพื่อประโยชน์ในการทำธุรกรรมอื่น ๆ ในอนาคต และเพื่อช่วยให้พี่น้องประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้
เป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดหักเหลี่ยมตัดมุมกัน แต่เป็นการสนับสนุนเกื้อกูลกันในระบบเศรษฐศาสตร์การเงินมากกว่า ซึ่งหากเราประสบปัญหาจริง ๆ ธนาคารย่อมไม่ชักช้าพร้อมที่จะเจรจาและทำ “hair cut หนี้” หรือปรับลดหนี้เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้อยู่แล้ว ส่วนการช่วยเหลือจะเป็นจำนวนมากน้อยเท่าไหร่ ธนาคารก็จะพิจารณาตามสภาพปัญหา และผลกระทบลูกหนี้แต่ละรายได้รับ เพื่อไม่ให้กระทบกับภาพรวมตามที่กล่าวมา
เมื่อเคลียร์ตัวเองได้แล้ว หากจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบกู้ยืมอีกในอนาคตก็อย่าลืมวางแผนการเงินให้พร้อม แต่การไม่พาตนเองเข้าสู่วงจรหนี้ถึงจะดีที่สุด และมีสติในทุกการใช้จ่ายนะทุกคน
แหล่งที่มา :
https://taokaemai.com
https://www.set.or.th