เคยตั้งข้อสงสัยกับตัวเองบ้างไหมครับ ว่าอายุเท่านี้ ควรลงทุนหรือเก็บเงินอย่างไรดี ถึงจะเหมาะกับวัยเราที่สุด เชื่อว่าหลายคนต้องมีข้อสงสัยเหล่านี้ในใจแน่ ๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกใจอะไรครับ เพราะแต่ละช่วงอายุหรือแต่ละวัยก็มีหลักหรือวิธีการออมเงิน การลงทุนที่แตกต่างกันจริง ๆ นั่นละ
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับแต่ละช่วงอายุหรือแต่ละ
Generation กันก่อนดีกว่า เพราะเมื่อเราเข้าใจถึงลักษณะนิสัย พฤติกรรมของแต่ละ Gen แล้ว เราก็จะทราบว่าการลงทุน หรือการออมประเภทใดจะเหมาะกับช่วงอายุนั้น ๆ โดยจะขอยกมาพูดถึง 4 Gen คือ Gen B, Gen X, Gen Y และ Gen Z มาดูกันว่าคุณเหมาะกับการออมแบบไหน
เน้นออมเงิน เก็บเงิน - Gen B (Baby Boomer)
คนที่เกิดใน Gen B หรือเราคุ้นชื่อว่า Baby Boomer นั้น อยู่ในช่วง พ.ศ. 2489 - 2507 เป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่บ้านเมืองสงบหลังจากสงครามแล้ว จึงต้องเร่งฟื้นฟูประเทศให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง มีค่านิยมให้มีลูกมีหลานมาก เพื่อเพิ่มจำนวนแรงงานมาช่วยกันพัฒนาประเทศ ปัจจุบันคนในยุคนี้มีอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป
ลักษณะนิสัย : คน Gen B นี้ มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ มีความอดทนสูง ทุ่มเทให้กับการทำงานและองค์กรมาก พยายามคิดและทำอะไรด้วยตัวเอง เป็นเจ้านายคน ได้รับการสั่งสอนมาให้รู้จักประหยัด อดออม จึงใช้จ่ายเงินอย่างรอบคอบ และระมัดระวัง เป็นคนจริงจัง เคร่งครัดเรื่องขนบธรรมเนียนประเพณี มีความเป็นผู้นำสูง
เลือกออมแบบไหน : Baby Boomer อยู่ในช่วงวัยที่แทบจะเรียกได้ว่าใกล้จะหมดภาระแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ผ่อนรถหมดแล้ว ผ่อนบ้านใกล้หมด และใกล้เกษียณอายุจากการทำงาน จึงมักหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนทุกรูปแบบ เพราะต้องการวางแผนการเงินให้พอสำหรับการใช้ชีวิตในบั้นปลายของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้แบ่งเงินมาลงทุนเลย แต่เปอร์เซ็นต์น้อยเหลือเพียง 10% และอีก 90% ของเงินเก็บ ก็ควรจะเก็บฝากไว้กับธนาคาร ไม่ควรลงทุนเพิ่มในหน่วยการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ยกเว้นกรณีลงทุนตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการทำงาน
มีความมั่นคง พร้อมลงทุน - Gen X
คน Gen X คือกลุ่มคนในวัย 33 - 47 ปี เกิดในช่วง พ.ศ. 2508 - 2522 ชีวิตไม่ยากลำบาก โลกสงบเรียบร้อยแล้ว มีความมั่นคงในชีวิตสูง การใช้ชีวิตมีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์ วิดีโอเกม โทรศัพท์มือถือ สไตล์เพลงเป็นแบบฮิปฮอป
ลักษณะนิสัย : คน Gen X ในวัยทำงานอายุ 30 ขึ้นไป เป็นคนชอบอะไรง่าย ๆ ไม่ชอบอะไรที่เป็นทางการ มีความ Work life balance สูง ทำงานแบบ Independence ได้ดี มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เปิดกว้าง มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็มีความขัดแย้งในตัวเองสูงเช่นกัน เช่น ต่อต้านสังคม ไม่ยึดกับขนบธรรมเนียม
เลือกออมแบบไหน : คนใน Gen X นี้เป็น Gen ที่มีความพร้อมในการลงทุนมากที่สุดแล้ว เพราะมีรายได้มาก มีความรู้ ฐานะมั่นคง แม้จะมีภาระมากมายก็ตาม ดังนั้นจึงไม่ควรลงทุนแบบโลดโผน หากจะลงทุนในหุ้นก็ควรเป็นการลงทุนในระยะยาว เพื่อรอรับผลประโยชน์หลังจากเกษียณ แบ่ง 30% ของเงินเก็บไปลงทุน และอีก 70% ออมกับธนาคารหรือลงทุนในตราสารหนี้ต่าง ๆ คน Gen X นิยมลงทุนใน
กองทุนรวมประเภท LTF หรือ RMF เพราะลงทุนหุ้นในระยะยาว และยังนำมาช่วยลดหย่อนภาษีได้ด้วย เพราะเมื่อมีรายได้มากก็จะต้องเสียภาษีมากตามไปด้วย อีกหนึ่งการลงทุนที่เหมาะกับ Gen นี้ คือ การซื้อประกัน ทั้งประกันสุขภาพและประกันที่เป็นการเก็บเงินเอาไว้ใช้ในระยะ 10 - 20 ปีข้างหน้า เมื่ออายุมากขึ้น ในอนาคตอาจจะมีปัญหาสุขภาพตามมา
แบ่งเก็บ แบ่งลงทุน - Gen Y
คน Gen Y คือกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523 - 2543 อายุอยู่ที่ประมาณ 18 - 32 ปี เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล มีความเป็นสากล เปิดรับวัฒนธรรมแบบ Teen Pop มีความคิดว่าการชื่นชอบศิลปินต่างชาติเป็นเรื่องปกติธรรมดา มีเทคโนโลยี เช่น โทรศัพท์มือถือ MP3 ใช้ในการติดต่อสื่อสาร เกิดมาในยุคที่เศรษฐกิจกำลังเติบโต และเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก
ลักษณะนิสัย : ชอบทำงานเป็นทีม คน Gen Y เกิดมาพร้อมกับค่านิยมการประชุม ระดมความคิด เป็นคนไม่ชอบถูกเอาเปรียบและต้องการทำงานเพื่อให้ได้เงินเดือนสูง ๆ ชีวิตส่วนตัวชอบสังสรรค์และมีชีวิตหลังเลิกงาน เช่น ไปเล่นฟิตเนส แฮงก์เอ้าท์กับเพื่อน เป็นกลุ่มคนที่มองโลกในแง่ดี มีใจเอื้อเฟื้อต่อสังคม มีใจรักต่อสิ่งแวดล้อม ถนัดงานที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ชอบงานด้านไอที ใช้ความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ สามารถทำอะไรหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน ใช้เทคโนโลยีได้อย่างคล่องแคล่ว อย่างที่เราเห็นภาพคนยุคใหม่ที่นั่งเล่นสมาร์ทโฟน ไอแพด คุยโทรศัพท์ ไปพร้อม ๆ กับทานข้าวได้
เลือกออมแบบไหน : คนใน Gen Y จะมีสัดส่วนในการลงทุนที่แตกต่างไป เพราะเข้าสู่ช่วงการทำงาน เพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว บางคนอาจมีครอบครัว มีบ้าน คอนโด รถ เริ่มมีภาระและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น Gen Y จึงเริ่มมองหาการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย ดังนั้นจึงควรจะแบ่งเงินลงทุน 50% จากเงินเก็บ โดยเลือกลงทุนในกองทุน หรือตราสารเงินที่คุ้มครองเงินต้น ส่วนเงินเก็บอีก 50% ที่เหลือก็ควรออมที่ได้ดอกเบี้ยสูง เช่น
ฝากประจำปลอดภาษี หรือโครงการพิเศษต่าง ๆ และควรเริ่มมองการลงทุนหุ้นในระยะยาวด้วย
พร้อมเสี่ยง และใช้ชีวิตให้คุ้ม - Gen Z
Gen Z คือ Gen ใหม่ล่าสุดในยุคปัจจุบัน เป็น Gen ที่เกิดหลังพ.ศ. 2540 เป็นต้นไป มีอายุต่ำกว่า 19 ปี เติบโตมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายแวดล้อม สามารถใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้ดี เรียนรู้เร็ว เป็น Gen ที่มีจำนวนมากสุดในประเทศไทยขณะนี้
ลักษณะนิสัย : เกิดมาในยุคที่มีพร้อม จึงมักมีลักษณะนิสัยที่รักสบาย และไม่ยึดติดกับสิ่งใด ชีวิตขาดอินเทอร์เน็ตไม่ได้ เรื่องการใช้เงิน คือมีอำนาจในการซื้อสูง รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ต้องการอะไร และยอมจ่ายเพื่อสิ่งนั้น กล้าซื้อของออนไลน์โดยไม่คำนึงถึง Privacy และนำไปแชร์ต่อในโซเชียลมีเดีย หรือเขียนลงบล็อก หรือในช่องทางโซเชียลต่าง ๆ ถือว่าเป็นผู้นำเทรนด์
เลือกออมแบบไหน : Gen Z เหมาะกับการเริ่มต้นลงทุนมากที่สุด เมื่อเรียนจบออกมาอีก 1 - 2 ปีข้างหน้า เพราะจะเป็นวัยที่จบใหม่ บางคนมีรายได้หรือเงินเก็บรอตั้งแต่ยังเรียนหนังสืออยู่เลย เมื่อเริ่มต้นทำงาน มีความมั่นใจและยอมรับความเสี่ยงได้สูง แต่ต้องขึ้นอยู่กับรายได้ที่มีด้วย อีกอย่าง Gen นี้ยังไม่ค่อยมีภาระ สามารถใช้เงินเก็บมากถึง 90% มาลงทุน โดยควรแบ่งลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี หรือการลงทุนที่คิดว่าจะได้ผลตอบแทนในระยะยาวที่คุ้มค่า แต่ต้องแบ่งเงินเก็บสัก 10% ไว้ฝากธนาคารที่ได้ดอกเบี้ยสูง หรือซื้อหุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล หรือลงทุนในช่องทางที่สร้างความมั่นคง และมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นเอาไว้ด้วย เพื่อสร้างรากฐานความมั่นคงให้ชีวิต
จะเห็นได้ว่าแต่ละ Gen มีวิธีการออมเงินและลงทุนที่ต่างกันออกไป ฉะนั้นคุณอยู่ในวัยไหนก็สามารถเลือกออมและลงทุนได้ตาม Gen ของคุณ การลงทุนที่น่าจะทำกำไรได้มากที่สุดคือช่วง Gen Z เพราะลงทุนในความเสี่ยงสูง การลงทุนและการวางแผนการเงินตาม Gen ต่าง ๆ ทำให้เราตั้งเป้าหมายในการใช้เงินได้ บางคนอาจเริ่มจากการลงทุนในกองทุนรวม ที่รับความเสี่ยงได้น้อย หรืออาจจะซื้อประกันเงินฝากเอาไว้ตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ ๆ คนที่เริ่มซื้อประกันเอาไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย จะได้เปรียบตรงที่เงินต้นที่ต้องชำระเบี้ยประกันถูกกว่าคนที่ไปทำตอนอายุมาก สำหรับคำว่า “ออมเงิน” ไม่มีคำว่าเร็วเกินไป หรือว่าสายเกินไปนะครับ แค่คุณคิดจะเริ่มออมเงิน ก็ถือว่าคุณมาได้ครึ่งทางแล้ว