พ่อแม่ยุคใหม่เลือกประกันสุขภาพเด็กอย่างไรถึงจะตอบโจทย์
เพื่อคุ้มครองคุณและครอบครัว
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

พ่อแม่ยุคใหม่เลือกประกันสุขภาพเด็กอย่างไรถึงจะตอบโจทย์

icon-access-time Posted On 04 เมษายน 2566
By Krungsri The COACH
สถานการณ์รอบตัวนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและส่งผลต่อวิถีการใช้ชีวิต โดยเหล่าพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกน้อยท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงนี้เพื่อให้เติบโตไปโดยไม่รู้สึกแปลกแยกจากสิ่งที่พวกเขาควรจะเป็น หรือหากพูดถึงความมั่นคงของลูกน้อยในด้านสุขภาพ อะไรที่เป็นกุญแจสำคัญจะมาช่วยให้พ่อ-แม่หรือผู้ปกครองเลี้ยงลูกให้เติบโตไปอย่างมีคุณภาพ การทำประกันสุขภาพเด็กนั้นมีความสำคัญที่ต้องทำให้ลูกจริงหรือไม่? มาดูกันเลย

ทำไมประกันสุขภาพสำหรับเด็กถึงสำคัญ

พ่อแม่ส่วนใหญ่อาจคิดว่าหากลูกป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุจะสามารถแบกรับค่าใช้จ่ายได้ แต่หากมองในความเป็นจริงแล้วนั้นเด็กมีความเสี่ยงมากกว่าที่คิด ทั้งการเกิดโรคภัยไข้เจ็บและหากเกิดขึ้นกับเด็กแล้วก็เป็นไปได้ที่จะมีความรุนแรงและมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าด้วยซ้ำ การลดความเสี่ยงด้วยการทำประกันสุขภาพเด็ก นับว่าเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาไว้เป็นอย่างยิ่งรวมถึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้

สาเหตุหลักที่ต้องทำประกันสุขภาพให้ลูกน้อย

  1. เด็กที่มีอาการป่วยอาจสื่อสารได้ยาก ซึ่งการสังเกตอาการเบื้องต้นอาจทำได้เพียงแค่สังเกตทางร่างกาย หรือการร้องไห้ ทำให้เข้าใจได้ยากว่าเด็กนั้นกำลังรู้สึกอะไรอยู่
  2. เด็กเล็กมีโอกาสในการติดเชื้อได้ง่ายหรือเป็นโรคแปลก ๆ มากกว่าผู้ใหญ่ เพราะภูมิคุ้มกันยังต่ำและร่างกายบอบบาง ในปีหนึ่งอาจเกิดการป่วยได้มากถึง 3-4 ครั้ง หรืออาจมากกว่านั้น มีการใช้เวลาการรักษาที่ยาวนานกว่าผู้ใหญ่ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายรักษาที่สูงกว่า

พ่อ-แม่หลาย ๆ ท่านอาจมองว่าค่าใช้จ่ายของลูกเป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่าปัญหาด้านสุขภาพของลูกนั้นมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้เสมอ เช่นนั้นการทำประกันสุขภาพให้ลูกจึงควรที่จะครอบคลุมปัจจัยอย่างค่ารักษาพยาบาล ค่าห้องพักรักษา ค่าดูแลยามพักฟื้นนั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
 
ประกันสุขภาพเด็กสำคัญอย่างไร

เลือกประกันแบบใดให้ลูกน้อยถึงจะคุ้มค่า?

ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน การเจ็บป่วยของลูกน้อยย่อมไม่มีพ่อ-แม่หรือผู้ปกครองท่านใดหวังให้เกิดขึ้นจึงควรมีวิธีรับมือล่วงหน้า การซื้อประกันสุขภาพเด็กเสมือนการบริหารความเสี่ยงระยะยาว ดังนั้นควรทำประกันสุขภาพให้ลูก เพราะนอกจากที่จะดูแลให้ลูกน้อยเติบโตไปเป็นเด็กที่มีคุณภาพควบคู่มาพร้อมกับเกราะป้องกันสุขภาพที่ดี ควรศึกษาประกันสุขภาพให้ลูกดังนี้
  1. เลือกประกันที่มีความคุ้มครองครบถ้วนในวงเงินที่เหมาะสม
    โดยส่วนมากประกันสุขภาพเด็กจะมีทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ แบบแยกค่าใช้จ่าย และแบบเหมาจ่าย หากคุณพ่อ-คุณแม่หรือผู้ปกครองท่านใดต้องการจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพน้อยก็แนะนำให้เลือกความคุ้มครองแบบแยกค่าใช้จ่ายที่สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายตามจริงจะดีที่สุด

  2. ควรศึกษาแผนคุ้มครองจากหลาย ๆ บริษัท
    ทั้งนี้เพื่อดูว่าประกันดังกล่าวนั้นคุ้มครองเรื่องใดบ้าง เช่น อุบัติเหตุ เจ็บป่วย ผู้ป่วยใน (IPD) หรือผู้ป่วยนอก (OPD) หรือความคุ้มครองของผลประโยชน์อื่น ๆ โดยเลือกจากความต้องการของพ่อ-แม่ หรือผู้ปกครองเป็นหลัก โดยบริษัทประกันควรที่จะต้องมีโรงพยาบาลคู่สัญญาอยู่ในเขตใกล้เคียง และควรระวังการโดนหลอกขายประกัน ควรเลือกซื้อประกันจากนายหน้า หรือตัวแทนที่มีความจริงใจ โปร่งใส และตรงไปตรงมา สามารถติดต่อขอคำปรึกษาได้ง่าย

  3. ชำระเบี้ยประกันสุขภาพต้องอยู่ในกำลังทรัพย์และวงเงินที่เหมาะกับการเงินของตัวเอง
    พ่อ-แม่และผู้ปกครองต้องเลือกแผนประกันสุขภาพเด็กโดยเลือกชำระได้ทั้งแบบรายเดือน รายปี หรือแม้แต่การผ่อนชำระ ทั้งนี้ต้องดูกำลังการเงินของตัวเองด้วย และควรชำระเบี้ยประกันสุขภาพให้ไม่เกินกำลังของตัวเอง

  4. ต้องเข้าใจระยะเวลารอคอยการอนุมัติกรมธรรม์
    หลังจากที่คุณพ่อ-คุณแม่หรือผู้ปกครองได้ทำประกันสุขภาพเด็กแล้ว จะมีระยะเวลาที่ต้องรอการอนุมัติจากกรมธรรม์ เพื่อป้องกันการเรียกค่าสินไหมเกินจากสภาพที่เป็นก่อนมาเอาประกันภัย และแต่ละบริษัทจะมีการกำหนดระยะเวลารอคอยที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนที่จะเลือกซื้อแผนประกันสุขภาพให้ลูกควรดูว่ามีระยะรอคอยนานเท่าไหร่ถึงจะใช้ได้

กรุงศรีประกันสุขภาพ ลักซ์ชัวรี่ เฮลท์ ประกันสุขภาพที่เป็นมากกว่าการคุ้มครอง คือการดูแลคุณในทุกโมเมนต์แบบเหนือระดับ เคียงข้างคุณ ทั้งป้องกัน รักษา และฟื้นฟู พร้อมดูแลค่ารักษาพยาบาลของลูกน้อยด้วยแผน Luxury Plus ที่คุ้มครองทั้งด้านชีวิตและสุขภาพตั้งแต่อายุ 1 ปี

นอกจากการทำประกันสุขภาพเด็กที่ว่าเป็นสิ่งสำคัญกับลูก ๆ แล้ว จะทำอย่างไรให้ลูกน้อยเติบโตไปเป็นบุคคลที่มีคุณภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ แน่นอนว่าเป้าหมายของพ่อ-แม่หรือผู้ปกครองในการคุ้มครองลูกน้อย คือการปฏิบัติต่อเด็กที่ไม่ว่ากรณีใดควรคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่ลูกคนหนึ่งควรได้รับ และสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นคือการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม โดยจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือการที่จะให้ลูกได้เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ตามวัยทั้งทางร่างกายและด้านจิตใจ พื้นฐานเด็กที่มีคุณภาพมักเริ่มต้นจากครอบครัวที่เป็นผู้ดูแลก่อนเสมอ ผู้ปกครองควรทำอย่างไร เพื่อเพิ่มปัจจัยให้กับเด็ก ๆ ขอแนะนำตัวอย่างพื้นฐาน 5 ข้อแนะนำที่พ่อและแม่หรือผู้ปกครองควรแสดงท่าทีต่อลูก
 
การดูแลลูก

ข้อแนะนำ ดูแลลูกอย่างไรให้มีคุณภาพ

  1. ผู้เลี้ยงดูเด็กควรมีขอบเขตทั้งด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านสังคม
    • ขอบเขตด้านร่างกาย พ่อ-แม่ และผู้ปกครองควรทราบเรื่องพื้นที่ส่วนตัวและให้ความช่วยเหลือลูกตามวัยเท่าที่จำเป็น เช่น การช่วยอาบน้ำหรือแต่งตัว เมื่อยังเล็กอาจช่วยในเรื่องนี้ได้ แต่เมื่อลูกเข้าสู่วัยเริ่มโตแล้วก็ลองฝึกให้ลูกน้อยได้ทำอะไรด้วยตัวเอง และเคารพความเป็นส่วนตัว ของสิ่งใดที่เป็นของลูกหรือเป็นพื้นที่ของเขาก็ไม่ควรล่วงล้ำเข้าไป
    • ขอบเขตทางด้านจิตใจ ให้คำปรึกษาโดยไม่ล้ำเส้นเข้าไปในสิ่งที่ลูกนั้นไม่สบายใจและเคารพการตัดสินใจของลูกน้อย
    • ขอบเขตทางด้านสังคม เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่เหมาะสมมาทำร้ายลูก ควรให้ลูกน้อยได้พบกับสังคมที่เหมาะสม

  2. ผู้เลี้ยงดูเด็กควรที่จะมีความมั่นคงทางอารมณ์ เป็นแบบอย่างที่ดีอย่างสม่ำเสมอ
    คนที่เป็นพ่อ-แม่และผู้ปกครองควรเข้าใจและรู้ถึงความรู้สึกของตัวเองอย่างดีที่สุด และสามารถจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นของตัวเองได้ เช่น เมื่อรู้ว่าตนเองรู้สึกโกรธ เหนื่อย หรือเครียด ก็ควรควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองให้ดี เพื่อที่จะไม่ไประบายหรือลงกับลูกน้อยมิได้รู้เรื่องอะไรด้วย แต่หากจัดการเองไม่ได้ สามารถขอความช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม

  3. ไม่ใช้ความรุนแรงในการจัดการพฤติกรรมของลูก
    การจัดการพฤติกรรมของเด็กควรจัดการไปตามความเหมาะสมของวัยเพื่อการสอน เช่น ใช้วิธีการเบี่ยงเบนจากคำพูดจูงใจเชิงบวก เพื่อให้ลูกน้อยได้เรียนรู้ที่จะรับผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตนเองอาจมีการลงโทษเล็กน้อย เช่น การถูกตัดสิทธิ์ หรือถูกลงโทษ โดยปราศจากการใช้วาจาหรือการกระทำที่รุนแรง

  4. สร้างสภาพแวดล้อมทางสังคมของครอบครัว
    ในบริเวณชุมชนที่ครอบครัวอาศัยควรสะอาด ถูกสุขอนามัย และอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดจากแหล่งอบายมุขต่าง ๆ ควรมีสถานที่ที่ครอบคลุมอย่างโรงพยาบาล สถานศึกษา สวนสาธารณะ หรือสนามเด็กเล่น รวมถึงครอบครัวควรมีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งแน่นอน เพื่อสร้างความมั่นคงทางจิตใจให้กับลูก

  5. ให้ความมั่นคง รู้และเข้าใจถึงพัฒนาการของเด็ก
    ความต้องการและความจำกัดของลูกน้อยแต่ละคน แต่ละวัยนั้นต่างกัน แต่ก็ยังเป็นที่ต้องการในการดูแล และพ่อ-แม่หรือผู้ปกครองที่คอยเลี้ยงดูก็ควรเป็นที่พึ่งพาอาศัยให้กับลูกน้อยได้ เพิ่มความมั่นคง ความปลอดภัยให้กับเด็ก และหนึ่งวิธีในการให้ความมั่นคงหรือความปลอดภัยกับเด็กก็คือการมีประกันสุขภาพให้กับลูกๆ

จะเห็นได้ว่าการเลี้ยงลูกให้เติบโตไปแบบมีคุณภาพนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ผู้ปกครองควรให้ความใส่ใจทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เสริมสร้างความปลอดภัยของลูกน้อยต่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้น ด้วยประกันสุขภาพเด็ก ซึ่งกรุงศรีประกันสุขภาพ ลักซ์ชัวรี่ เฮลท์ สามารถให้คุณพ่อคุณแม่เลือกแผนความคุ้มครองที่พพร้อมดูแลลูกน้อย หมดกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายของลูก และสามารถเลือกความคุ้มครองเพิ่มเติมได้ตามความเสี่ยง หากคุณต้องการปรึกษาหรือขอคำแนะนำเพิ่มเติมในด้านวางแผนทางการเงิน ทางธนาคารกรุงศรีมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและการลงทุนโดยเฉพาะ ที่สามารถปรึกษาผ่านช่องทางฮอตไลน์ได้ที่ 02-296-5959 จันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00 น. - 17.00 น. หรือฝากข้อมูลเพื่อให้ที่ปรึกษาทางด้านการเงินจากธนาคารกรุงศรี ติดต่อกลับ

บทความโดย
สิรภัทร เกาฏีระ CFP®
กลุ่มบริการที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
pym logo
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา