การทำธุรกิจอย่างยั่งยืน เป็นแนวคิดการทำธุรกิจที่ไม่ได้คำนึงถึงผลกำไรของบริษัทเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการที่บริษัทดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความรับผิดชอบอีก 3 ด้านหลัก คือ สิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) การกำกับดูแล (Governance) หรือที่เราเรียกสั้น ๆ ว่า ESG นั้น ซึ่งสามารถสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจได้อย่างยั่งยืน เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่า บริษัทได้ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และสังคม สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทได้มาก รวมทั้งเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์บริษัทที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งสิ่งนี้เองมีความสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจในระยะยาว (Sustainability)
ทำไม? เราจึงควรลงทุนในธุรกิจ ESG ถ้าอยากให้พอร์ตเราเติบโต
1. ความได้เปรียบในการแข่งขันเหนือคู่แข่งทางธุรกิจ
บริษัทที่ทำ
ธุรกิจโดยคำนึงถึง ESG มักจะได้เปรียบในแง่การแข่งขันทางธุรกิจ เพราะในปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญ และใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ดังนั้นแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคจะหันมาให้ความสนใจกับสินค้าที่ได้มาซึ่งวัตถุดิบในการผลิตที่มีความยั่งยืน เช่น บรรจุภัณฑ์ต้องสามารถรีไซเคิล หรือย่อยสลายได้
ตัวอย่างงานวิจัย โดย ศูนย์วิจัยความเป็นอยู่ ฮาคูโฮโด อาเซียน หรือ ฮิลล์ อาเซียน (Hakuhodo Institute of Life and Living ASEAN: HILL ASEAN) ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศไทย ผ่านช่องทางออนไลน์ รวม 4,500 คน โดยเป็นชาวอาเซียน 6 ประเทศ
ซึ่งจากผลสำรวจพบว่าทั้งชายและหญิง ที่มีอายุระหว่าง 20-49 ปี 86% ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง ส่วนผู้บริโภคที่กว่า 80% ให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ขณะที่ผู้บริโภค 81% เต็มใจจ่ายแพงขึ้นเพื่อสนับสนุนสินค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
(ที่มา
https://positioningmag.com )
2. มีความโปร่งใส และตรวจสอบธุรกิจให้ไร้การทุจริต
หากบริษัท หรือองค์กรใดที่คำนึงถึง ESG แน่นอนว่าหนึ่งในหลักสำคัญ คือ การให้ความสำคัญในการบริหารธุรกิจด้วยธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ เช่น มีการจัดทำนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการทุจริต มีนโยบายการจัดการด้านภาษี โครงสร้างผู้บริหารที่ชัดเจน และมีกระบวนการทำงานที่โปร่งใส หรือแนวปฏิบัติต่าง ๆ ภายในองค์กรเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ลดการทุจริตในองค์กร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
3. ความน่าเชื่อถือของบริษัทส่งผลให้เกิดโอกาสทางธุรกิจที่มากขึ้น
จากข้อมูลสรุปรายงานผลการดำเนินงานของธุรกิจที่ยึดหลัก ESG แสดงให้เห็นว่าบริษัทเหล่านี้กำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุน และผู้ให้กู้ จากการศึกษาของ Gallup ที่เผยแพร่ในปี 2565 พบว่า 48% ของนักลงทุน สนใจที่จะลงทุนในบริษัทที่เน้นการทำธุรกิจแบบยั่งยืน ในขณะที่การสํารวจของ Dow Jones ในปี 2565 ได้สำรวจผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจำนวน 200 คน คาดการณ์ว่าจะลงทุนในธุรกิจ ESG จะเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในอีกสามปีข้างหน้า
จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้บริโภคกังวลในเรื่องโรคระบาด และอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ผลักดันให้นักลงทุน และผู้ให้กู้ สนใจร่วมลงทุนกับบริษัทที่ทำธุรกิจแบบยั่งยืนมากขึ้น และมองเห็นว่าบริษัทที่ทำธุรกิจโดยคำนึงถึง ESG มักมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าบริษัทที่ไม่คำนึงในเรื่องดังกล่าว เช่น ความเสี่ยงที่จะกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งนำไปสู่ผลกระทบต่อชื่อเสียงของบริษัท และความเสี่ยงที่มีผลต่อการทำธุรกิจกับคู่ค้า และลูกค้า ซึ่งมีผลต่อรายได้ และผลการดำเนินงานของบริษัท
(ที่มา
https://news.gallup.com)
4. บริษัทมีแผนธุรกิจที่รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
บริษัทเหล่านี้มักมีแผนงาน และเป้าหมายระยะยาว ซึ่งรวมถึงการคาดการณ์ความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้า ทำให้มีแผนงานเพื่อรับมือ รวมทั้งปรับตัวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้บริษัทสามารถลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจของสังคม ซึ่งส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจในระยะยาว
5. สร้างความเชื่อใจให้กับลูกค้าเดิม และขยายฐานลูกค้าใหม่ได้เรื่อย ๆ
ปัจจัยเรื่อง ESG ได้กลายมาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภค นำมาซึ่งความเชื่อใจ วางใจ และนำไปสู่ความภักดีของลูกค้า รวมถึงการบอกต่อที่จะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าให้มีมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่ธุรกิจจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ในการสํารวจปี 2565 ที่จัดทําโดย Accenture จากผู้บริโภคมากกว่า 25,000 รายใน 22 ประเทศ
รายงานว่า จากเหตุการณ์ Pandamic COVID 19 ผู้บริโภคจำนวน 50% ของการสำรวจ ยินดีที่จะจ่ายเพิ่มสําหรับ
ธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือธุรกิจรักษ์โลก ใส่ใจสังคม และพร้อมที่จะสนับสนุนธุรกิจเหล่านี้
(ที่มา
https://www.accenture.com)
มาดูตัวอย่างกันว่ามีบริษัทชั้นนำไหนบ้าง ที่มีการตื่นตัวอย่างมากในเรื่องการเติบโตอย่างยั่งยืน
3 บริษัทชั้นนำที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน
1. บริษัท Microsoft
ได้กำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนว่า จะลดคาร์บอนลงภายใน 7 ปี หรือภายในปี 2573 ซึ่งบริษัทให้คํามั่นว่าจะกําจัดคาร์บอนทั้งหมดที่บริษัท ปล่อยออกมานับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2518 นอกจากนี้ Microsoft ยังลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียน ใช้หลักการเรื่องพลังงานหมุนเวียนเป็นตัวขับเคลื่อนในระบบการผลิต เพื่อลดจำนวนขยะ หรือของเสียที่เกิดจากการดำเนินงาน เป็นต้น
(ที่มา
https://www.microsoft.com)
2. บริษัท VISA
ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีการชำระเงิน มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่ใส่ใจเรื่อง ESG เพื่อตอบสนองความคาดหวังของผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสังคม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส นำพาไปสู่กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
(ที่มา
https://usa.visa.com)
3. บริษัท Republic Services Inc.
เป็นผู้ให้บริการในการจัดการกับขยะที่มีคุณภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทจะดำเนินการเกี่ยวกับการกำจัดขยะ การบำบัดขยะ และการรีไซเคิล เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์จากขยะที่เกิดขึ้นในชุมชนให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้บริษัทเคยได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทอันดับหนึ่งในดัชนี DJSI World (Dow Jones Sustainability North America Index) ประจำปี 2559 ในด้านการกำกับดูแลความเป็นผู้นำองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม และสังคม
(ที่มา
https://investor.republicservices.com)
โดยสรุป บริษัทที่ให้ความสำคัญกับเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไปโดยคำนึงปัจจัย ESG มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนมากกว่า มีผลการดำเนินงานทางการเงินที่ดีในระยาว มีภาพลักษณ์ และความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้บริโภค เนื่องจากมีส่วนในการรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และมีการกำกับกิจการที่ดีมีธรรมาภิบาล นอกจากนี้บริษัทที่ให้ความสำคัญกับปัจจัย ESG นักลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาวจากการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม จากเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นทำให้นี่คือเหตุผลที่เราควรลงทุนกับบริษัทที่ใช้หลัก ESG ในการดำเนินธุรกิจ
สำหรับนักลงทุนที่อยากสร้างโอกาสการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ขอแนะนำกองทุนของ บลจ. กรุงศรี ที่มีกระบวนการลงทุนที่น่าสนใจ โดยมีการนำปัจจัยด้าน ESG มาใช้พิจารณาคัดเลือกหุ้น ดังนี้
1. กองทุน KFESG-A (กรุงศรี Equity Sustainable Global Growth-สะสมมูลค่า)
- ลงทุนในตราสารทุนของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ “AB Sustainable Global Thematic Portfolio, Class S1 USD” (กองทุนหลัก)
- ระดับความเสี่ยง : ระดับ 6 (เสี่ยงสูง)
2. กองทุน KFCLIMA-A (กรุงศรี ESG Climate Tech-สะสมมูลค่า)
- ลงทุนในตราสารทุนของบริษัททั่วโลกที่มีธุรกิจหลักเกี่ยวกับการควบคุม หรือลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และเป็นบริษัทที่มุ่งเน้นการดำเนินกิจการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักการ ESG ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ
- ระดับความเสี่ยง : ระดับ 6 (เสี่ยงสูง)
3. กองทุน KFGBRAND-A (กรุงศรีโกลบอลแบรนด์อิควิตี้-สะสมมูลค่า)
- ลงทุนในหุ้นบริษัทในประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จ/มีชื่อเสียงใน Brand เช่น เครื่องหมายการค้า เจ้าของลิขสิทธิ์สินค้า หรือกลวิธีจัดจำหน่าย ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ “Morgan Stanley Investment Fund - Global Brands Fund”
- ระดับความเสี่ยง : ระดับ 6 (เสี่ยงสูง)
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
- กองทุน KFGBRAND-A และ KFCLIKMA-A มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้