Portfolio rebalancing สิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรทราบ ปรับสมดุลให้กับสัดส่วนการลงทุนเพื่อให้พอร์ตการลงทุนเติบโตอย่างมั่นคง และได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้ในทุกจังหวะของการลงทุน แต่การทำ Portfolio rebalancing คืออะไร และมีวิธีอย่างไรอ่านต่อได้ในบทความนี้
Portfolio rebalancing คืออะไร ทำไมนักลงทุนถึงควรรู้
Portfolio rebalancing หรือเรียกสั้นๆ ว่า rebalancing คือ การปรับสัดส่วนของการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ทั้งในด้านผลตอบแทนที่คาดหวังและการปรับระดับความเสี่ยงในการลงทุนให้เหมาะสมตามสถานการณ์
ทำไมถึงต้องทำ Portfolio rebalancing
สาเหตุที่นักลงทุนต้องปรับสมดุลของพอร์ตการลงทุน เนื่องจากสินทรัพย์แต่ละประเภทมีอัตราการเติบโต และการให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน อีกทั้งระดับความเสี่ยง ความผันผวนก็แตกต่างกันด้วย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเป้าหมายในการลงทุนที่อาจได้รับผลกระทบหากไม่มีการปรับพอร์ต
ดังนั้นการทำ rebalancing จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ ผ่านการพิจารณาเลือกสินทรัพย์การลงทุนในแต่ละช่วง เพื่อลดความเสี่ยง เพิ่มช่องทางกำไร ปรับพอร์ตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้
การทำ Portfolio rebalancing ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างไร
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าสินทรัพย์แต่ละประเภทมีอัตราการเติบโตที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นในภาวะที่สินทรัพย์บางประเภทปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนั้นสูงขึ้น และส่งผลให้มีความเสี่ยงสูงตามไปด้วย
ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนที่ตั้งเป้าหมายในการลงทุนโดยรับ
ความเสี่ยงได้ในระดับกลาง มีต้นทุนในการลงทุนอยู่ที่ 200,000 สรรสัดส่วนการลงทุนไว้ที่
หุ้น 50% (100,000 บาท) และกองทุนตราสารหนี้ 50% (100,000 บาท)
แต่เมื่อเวลาผ่านไปพบว่าตลาดหุ้นมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้น 20% แต่กองทุนตราสารหนี้กลับไม่มีการเติบโต ส่งผลให้มูลค่าหุ้นใน
พอร์ตเพิ่มขึ้นเป็น 120,000 บาท แล
ะมูลค่าพอร์ตรวม 220,000 บาท ซึ่งส่งผลต่อสัดส่วนการลงทุนที่เปลี่ยนไป คือ
สินทรัพย์เสี่ยงสูง (หุ้น) มีสัดส่วน 70% ของพอร์ต และสินทรัพย์เสี่ยงต่ำอย่างกองทุนตราสารหนี้
มีสัดส่วนที่ลดลงคือ 30%
ดังนั้นพอร์ตจึงมีความเสี่ยงโดยรวมที่สูงขึ้น หากไม่มีการปรับพอร์ตใดๆ สัดส่วนของหุ้นในพอร์ตก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ตลาดหุ้นตก พอร์ตก็จะเสียหายหรือมีโอกาสขาดทุนตามสภาวะของตลาด
วิธีการทำ Portfolio rebalancing
สำหรับวิธีการปรับพอร์ตให้สมดุล ปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับเป้าหมายทำได้โดย 2 วิธีดังนี้
- ขายสินทรัพย์ส่วนเกินออกไป (Overweight) ในอัตราส่วนที่เกินมา เพื่อนำผลกำไรหรือเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์นั้น ไปซื้อสินทรัพย์ประเภทอื่นให้มีอัตราส่วนเท่าเดิม
- นำเงินมาซื้อสินทรัพย์อื่นเพิ่ม (Underweight) วิธีนี้จะช่วยให้สินทรัพย์อื่นที่มีอัตราส่วนน้อยลงกลับมามีอัตราส่วนเท่าเดิมที่เคยกำหนดไว้ในตอนต้น
ยกตัวอย่างวิธีการทำ rebalancing
สรุปวิธีการทำ rebalancing คือ การปรับอัตราส่วนการลงทุนให้เท่าเดิมกับเป้าหมายแรกที่ตั้งไว้ เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน และสามารถสร้างผลตอบแทนอย่างมั่งคง ไม่ผันผวนตามสภาวะของตลาดทุน
Portfolio rebalancing ควรทำเมื่อไร
โดยส่วนใหญ่การปรับสมดุลของพอร์ตสามารถกำหนดได้ด้วยกัน 3 วิธีดังนี้
- ปรับตามช่วงเวลา เช่น กำหนดว่าจะปรับพอร์ตทุกไตรมาสหรือทุก 6 เดือน เป็นต้น
- ปรับตามการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนของการลงทุน เช่น เมื่อสินทรัพย์ในพอร์ตมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นหรือลง 10-15% จะต้องมีการปรับสัดส่วนการลงทุน เป็นต้น
- ปรับตามเป้าหมายการลงทุน เช่น เมื่อพอร์ตมีกำไร 10 หรือ 15% จะขายทำกำไร หรือจะปรับพอร์ตให้สมดุลเท่าเดิม เป็นต้น
ทั้งนี้การทำ rebalancing ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาทั้ง
ความเสี่ยงในการลงทุน ที่อาจะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วง รวมถึง
คุณภาพของสินทรัพย์ ที่อาจจะไม่มีศักยภาพเท่าเดิมแล้ว การปรับพอร์ตหรือการลงทุนเพิ่ม อาจทำให้เพิ่มโอกาสขาดทุนมากกว่าการสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุน
สรุป
กล่าวโดยสรุป Portfolio rebalancing คือ แนวทางการปรับสัดส่วนของพอร์ตการลงทุน ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่นักลงทุนตั้งไว้ เพื่อลดความเสี่ยง และรับมือความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงของตลาด ซึ่งถ้านักลงทุนคนไหนสนใจ ปรับพอร์ตการลงทุนในกองทุนรวม สามารถติดต่อขอรับคำปรึกษาหรือหาข้อมูลเพิ่มได้ที่
บริการที่ปรึกษาทางด้านการเงินจากธนาคารกรุงศรี
บทความโดย
สิรภัทร เกาฏีระ CFP®
กลุ่มบริการที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา