ประเทศจีน และเวียดนาม เป็นประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วต่อเนื่องมานานหลายปี และยังมีการคาดการณ์ว่าประเทศทั้ง 2 นี้จะยังคงมีการขยายตัวของเศรษฐกิจในอีกหลายปีข้างหน้าด้วย นี่คือเหตุผลที่เราได้ยินผู้แนะนำการลงทุนต่าง ๆ หรือแม้แต่มีกองทุนหุ้นจีน และเวียดนามเปิดตัวกันเยอะมากในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้นถ้าเราเชื่อว่าหุ้นจีน และหุ้นเวียดนามอาจจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุน เราควรจำเป็นที่จะต้องเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และธุรกิจต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจถึงความเสี่ยง และผลตอบแทนต่าง ๆ เพื่อที่เราจะสามารถมากำหนดกลยุทธ์การลงทุน
ทำไมการลงทุนหุ้นในประเทศจีนถึงน่าสนใจ?
ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก และยังมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโดยวัดจากตัวเลข GDP สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ GDP โลกมาอย่างยาวนาน และมีแนวโน้มจะเติบสูงต่อไปในอนาคต แม้แต่ช่วงโควิด-19 ที่เศรษฐกิจทั่วโลกติดลบ แต่ GDP จีนยังโต 2.3% ในปี 2020 และคาดกันว่าเศรษฐกิจจีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ กลายเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก เท่านั้นไม่พอ จีนได้ชื่อว่าเป็นโรงงานของโลกส่งสินค้าขายไปทั่วโลก และสินค้าที่จะเป็นอนาคตของประเทศจีนขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปก็คือ
DIGITAL ECONOMY เช่น E-commerce, แอปฯ TIKTOK, เกมบนมือถือ, ระบบเครือข่าย 5G, การให้บริการ CLOUD COMPUTING หรือบริการต่าง ๆ อีกมากมายไม่เว้นแม้แต่ SOFTWARE สำหรับประเภทธุรกิจ
ธุรกิจเหล่านี้น่าทึ่ง! สามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว เก็บข้อมูลต่าง ๆ ของผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม มีการให้ผู้บริโภคใช้บริการฟรีในบางบริการแล้วเก็บเงินจากบริการเสริมแทน และธุรกิจประเภท DIGITAL ECONOMY ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานของระบบอินเทอร์เน็ต SEVER ของอุตสาหกรรม CLOUD COMPUTING รวมไปถึงใช้ข้อมูลของลูกค้าเป็นเครื่องมือในการเข้าธุรกิจใหม่ ๆ ได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น บริษัท TENCENT HOLDING เจ้าของเกมส์ดังอย่าง ROV ที่ทุกคนสามารถเล่นเกมส์ได้ฟรี แต่ถ้าต้องการเป็นเจ้าของตัวละครตัวใหม่ก็ต้องจ่ายเงินซื้อตัวละคร หรือไอเทมออกใหม่ต่าง ๆ
อีกบริษัทที่ชื่อ meituan dianping เจ้าของแอปพลิเคชั่น รีวิวของจีน ไม่ว่าจะเป็นสินค้า บริการ สั่งอาหารจองโรงแรม โดยบริษัทเกิดขึ้นจากการควบรวม 2 บริษัทเข้าด้วยกันในอดีต บริษัท Meituan มีความโดนเด่นในด้านคูปองส่วนลดต่าง ๆ และบริษัท Dianping มีความโดนเด่นในด้านการรีวิวร้านอาหารและร้านค้า โดยเริ่มแรกนั้นทั้ง 2 บริษัทมุ่งเน้นเกี่ยวกับการขายคูปองส่วนลด และรีวิวสินค้าต่าง ๆ แต่เมื่อมีจำนวนลูกค้ามากขึ้น มีการเก็บข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้าทำให้บริษัทแตกธุรกิจใหม่ ๆ เช่น ธุรกิจเรียกรถ จองที่พัก ส่งอาหาร หรือแม้แต่ให้บริการโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจขนาดเล็ก หรือ SME (ข้อมูลอ้างอิงจาก annual report 2020) รวมไปถึงนโยบายของประเทศจีนที่มุ่งเน้นการเติบโตของการบริโภคภายในประเทศ นี่คือโอกาสในการลงทุนตลาดที่มีประชากรมากกว่า 4 พันล้านคน
แล้วทำไมถึงต้องลงทุนหุ้นจีนผ่านกองทุนรวม?
เนื่องจากกองทุนรวมเป็นเครื่องมือที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนมือใหม่ที่อาจไม่มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์การลงทุนในตลาดหุ้นจีนมากนัก รวมไปถึงนักลงทุนที่มีเงินไม่มาก ไม่ว่าจะเป็น เด็กจบใหม่ หรือมนุษย์เงินเดือนให้สามารถลงทุนในหุ้นจีนได้ไม่ต่างกับนักลงทุนมืออาชีพ เนื่องจากกองทุนรวมจะได้รับการดูแลจากผู้จัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญและคอยติดตามสถานการณ์ตลาดแทนนักลงทุนนั่นเอง โดยกองทุนแต่ละกองทุนจะมีการกำหนดนโยบายการลงทุนในหนังสือชี้ชวนว่ากองทุนดังกล่าวจะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อะไร ของประเทศอะไร รวมถึงมีปัจจัยความเสี่ยงใดที่เกี่ยวข้องบ้าง ดังนั้น เราเองในฐานะนักลงทุนก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูลกองทุนให้เข้าใจก่อนลงทุน ว่ากองทุนนั้นมีวัตถุประสงค์การลงทุนหรือมีระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตัวเราหรือไม่
ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และมีธุรกิจที่หลากหลายอย่างประเทศจีน ก็มีโอกาสในการลงทุนมากมาย แต่ในแต่ละหมวดอุตสาหกรรม หรือกลุ่มธุรกิจ ก็มีอัตราการเติบโต รวมทั้งปัจจัยความเสี่ยง ที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ ธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจจีนอาจไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นที่อยู่ในตลาดหุ้นจีนอย่างเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กองทุนหุ้นจีนในตลาดมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายและแตกต่างกันออกไป เพื่อตอบโจทย์การลงทุนที่มีความเฉพาะเจาะจงและหลากหลายของนักลงทุนนั่นเอง
ขอยกตัวอย่าง กองทุนหุ้นจีนที่เสนอขายผ่านธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่ผมเลือกมาสัก 3 กองทุน
1. กองทุนเปิดกรุงศรีไชน่าอิควิตี้ [KF-CHINA] ลงทุนในหน่วยลงทุนของ
กองทุนรวมต่างประเทศชื่อ Hang Seng China Enterprises Index ETF (“กองทุนหลัก”) โดยกองทุนหลักจะลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศที่ไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยหุ้นที่ลงทุน TOP 5 ได้แก่ (ข้อมูลจาก บลจ.กรุงศรี ณ 25 ก.พ. 2564)
- Tencent Holdings 9.53%
- China Construction Bank 8.43%
- Ping An Insurance 7.11%
- Alibaba Group 4.74%
- Xiaomi Corporation 4.67%
2. กองทุนเปิดกรุงศรีไชน่าเอแชร์อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า [KFACHINA-A] ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ UBS (Lux) Investment SICAV - China A Opportunity (“กองทุนหลัก”) โดยกองทุนหลักจะลงทุนในหุ้น A-shares ของจีน คือหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เสิ่นเจิ้น และตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ โดยหุ้นที่ลงทุน TOP 5 ได้แก่ (ข้อมูลจาก บลจ.กรุงศรี ณ 25 ก.พ. 2564)
- Kweichow Moutai A CNY1 8.85%
- Wuliangye Yibin Co Ltd-A 8.59%
- Yunnan Baiyao Group Co Ltd-A 8.39%
- Jiangsu Hengrui Medicine Co A 8.26%
- Ping An Insurance Co Ltd-A 4.96%
3. กองทุนเปิดกรุงศรีเกรทเทอร์ไชน่าอีควิตี้เฮดจ์ปันผล [KF-HCHINAD] ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ FSSA Greater China Growth Fund (“กองทุนหลัก”) โดยกองทุนหลักจะ
ลงทุนในหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ที่มีรายได้จากประเทศจีน ฮ่องกง และไต้หวัน โดยหุ้นที่ลงทุน TOP 5 ได้แก่ (ข้อมูลจาก บลจ.กรุงศรี ณ 25 ก.พ. 2564)
- Taiwan Semiconductor 9.10%
- Tencent Holdings Ltd 6.80%
- China Merchants Bank Co., Ltd Class H 4.30%
- Midea Group 4.30%
- AIA Group Limited 4.20%
จากข้อมูลที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าแม้กองทุนที่ลงทุนในหุ้นจีน ออกโดย บลจ.เดียวกัน แต่หุ้นที่ทั้ง 3 กองทุนหุ้นจีนลงทุนนั้นกลับแตกต่างกันออกไป ดังนั้น การที่เราจะลงทุนในกองทุนใด ๆ ก็ตามเราควรที่จะต้องอ่านหนังสือชี้ชวน หรือศึกษาข้อมูลกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
แล้วการลงทุนหุ้นในประเทศเวียดนามน่าสนใจยังไง?
การลงทุนหุ้นเวียดนามจะแตกต่างออกไปจากการลงทุนในหุ้นจีนในแง่ของเสถียรภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ แม้ว่าประเทศเวียดนามมีการเติบโตสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย และในหลายปีที่ผ่านมามีเงินลงทุนจากทั่วโลกไหลเข้าไปลงทุนทำธุรกิจ ในประเทศเวียดนามจำนวนมาก ก่อให้เกิดการจ้างงาน การจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศจนทำให้เศรษฐกิจเวียดนามมีอัตราการเติบโตเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกในหลายปีที่ผ่านมา และในอีกหลายปีต่อจากนี้ เท่านั้นไม่พอข้อสังเกตที่น่าสนใจ ประเทศเวียดนามได้เข้ารวมกลุ่มการร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศจำนวนมาก ที่มีประเทศสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปเป็นผู้จัดตั้ง ยิ่งเพิ่มโอกาสในด้านการถ่ายทอดความรู้ทางด้านเทคโนโลยี และการขยายตลาดทางการค้า แต่เมื่อนำข้อมูลดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามย้อนหลัง 10 ปี จะพบว่าดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามไม่เติบโต เกิดอะไรขึ้น?
ภาพกราฟดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามตั้งแต่ประมาณปี 2000 – 2021
ที่มา https://th.investing.com (ข้อมูล ณ วันที่ 12 เม.ย. 21)
จากรูปจะเห็นได้ว่าดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามเคยทำจุดสูงสุดเมื่อราว ๆ ปี 2008 แต่ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามไม่ไปไหนมา 10 กว่าปีจนกระทั่งสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ในปี 2021 เป็นเพราะแม้ว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะเติบโตสูงมาตลอด แต่ประเทศเวียดนามเองก็ยังมีปัญหาเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน และระบบการเงินที่จะใช้ในการพัฒนาประเทศ และตลาดหุ้นก็มีขนาดเล็กจึงทำให้การลงทุนรายตัวในหุ้นประเทศเวียดนามของนักลงทุนรายย่อยทำได้ยาก รวมไปถึงข้อจำกัดของสัดส่วนการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ (ที่มา: World Bank ข้อมูล ณ วันที่ 7 เม.ย. 64)
ดังนั้น การลงทุนในประเทศเวียดนามโดยผ่านกองทุนจะง่ายกว่าเมื่อเทียบกับลงทุนหุ้นด้วยตัวเอง รวมไปถึงการลงทุนในประเทศเวียดนามจำเป็นที่จะต้องลงทุนระยะยาวเพื่อให้รัฐบาลสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ รวมถึงระบบการเงิน เพื่อที่จะทำให้ประเทศเวียดนามสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต ดังนั้น หากเราต้องการได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนาม การลงทุนผ่านกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นของประเทศเวียดนามจึงมีความน่าสนใจ
ขอแนะนำกองทุน KFVIET-A กองทุนเปิดกรุงศรีเวียดนามอิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า โดยกองทุนจะ
ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีธุรกิจหลักหรือได้ประโยชน์จากการประกอบธุรกิจในเวียดนาม ผ่านกองทุนหุ้น และ/หรือ
กองทุนรวม ETF ต่างประเทศ ได้แก่
- JPMorgan Vietnam Opportunities Fund
- Xtrackers FTSE Vietnam Swap UCITS ETF
- VanEck Vectors Vietnam ETF
ไม่มี
กองทุนไหนดีที่สุด มีแต่สภาวะเศรษฐกิจแบบไหนกองทุนแบบใดจะได้ประโยชน์ และกองทุนใดที่เหมาะกับเราในด้านของความเสี่ยง และผลตอบแทนที่คาดหวัง และหากเราเลือกลงทุนหุ้นของบริษัทที่อยู่ประเทศที่มีการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจสูงกว่าอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก อย่างประเทศจีน และเวียดนาม ก็จะทำให้เรามีโอกาสมากขึ้นจะที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต • กองทุน KF-CHINA, KFACHINA-A และ KFVIET-A ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ทั้งนี้ โดยปกติกองทุน KF-CHINA, KFACHINA-A และ KFVIET-A ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนประมาณร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ