สาระน่ารู้นักลงทุนกองทุนดัชนี Passive Fund กองไหนดีที่น่าลงทุน
รอบรู้เรื่องลงทุน
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

สาระน่ารู้นักลงทุนกองทุนดัชนี Passive Fund กองไหนดีที่น่าลงทุน

icon-access-time Posted On 27 กันยายน 2566
By Krungsri The COACH
หัวข้อการลงทุนแบบ Passive Fund ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันอย่างกว้างขวาง ในช่วงที่สถานการณ์ทางการเงินและการลงทุนมีความเสี่ยงและความผันผวนอย่างในปัจจุบัน นักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญแนะนำให้นักลงทุนน้องใหม่เริ่มทำการศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนประเภทนี้ เพื่อเป็นตัวช่วยให้พอร์ตมีโอกาสได้เติบโตอย่างมั่นคงในช่วงที่ทุกอย่างยังคงชะลอตัว คำถามที่ตามมาคือ การลงทุนแบบนี้คืออะไร และควรเลือกอย่างไรเพื่อให้มีผลตอบแทนที่งอกเงย จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะร่วมศึกษาการลงทุนที่นับว่า เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีไปพร้อมกัน

Passive Fund คืออะไร ทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนทุกคน

Passive Fund คือ การลงทุนในกองทุนรวมดัชนี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนีที่ใช้อ้างอิงให้มากที่สุด หลายคนรู้จักกันดีในชื่อของ “กองทุนรวมดัชนี (Index Fund)” ซึ่งมีนโยบายการลงทุนด้วยการซื้อหุ้นตามดัชนีที่ใช้อ้างอิง อย่างเช่น หากกองทุนมีนโยบายสร้างผลตอบแทนล้อไปกับ SET50 Index ผู้จัดการกองทุนก็จะซื้อหุ้นเลียนแบบดัชนี SET50 เป็นต้น ซึ่งแต่ละกองทุนจะมีเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้เพื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงาน (Benchmark) อยู่

และเกณฑ์มาตรฐานกองทุนรวมดัชนีนี้เอง ซึ่งสามารถอธิบายให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้น โดยยกตัวอย่างให้ SET50 ราคาวันนี้ +3% กองทุนรวมดัชนี ที่เข้าซื้อหุ้นตามดัชนี SET50 จะสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับราคาตลาดของ SET50 โดยผลตอบแทนอาจจะได้เกือบเท่ากับราคาตลาด หรือประมาณ 2.9% ก็ได้ เพื่อให้ใกล้เคียงกับเกณฑ์มากที่สุด แต่กองทุนรวมดัชนีจะไม่สามารถสร้างผลกำไรจนนำตลาดได้ เนื่องจากกองทุนดัชนีมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ การลงทุนใน Passive Fund จึง “เป็นการลงทุนเชิงรับ”

สิ่งสำคัญที่นักลงทุนหลายคนอาจไม่ทราบคือ กองทุนดัชนีไม่ได้มีเฉพาะดัชนีราคาหุ้นเท่านั้น ยังมีดัชนีราคาสินทรัพย์อื่น ๆ ด้วย เช่น ดัชนีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (PF&REIT) ดัชนีตราสารหนี้ หรือดัชนีสินทรัพย์โภคภัณฑ์อื่น ๆ แต่ที่ได้รับนิยมมากที่สุดจริง ๆ ก็คือดัชนีราคาหุ้น

จึงสรุปได้ว่า กองทุนรวมดัชนี คือ หนึ่งในรูปแบบการลงทุน แบบ Passive ที่ลงทุนไปตามความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ไม่ว่าหุ้นจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้อ้างอิง

รู้จักหรือยัง Passive Fund vs Active Fund ความต่างที่เลือกได้

เมื่อเรารู้จักแล้วว่ากองทุนดัชนีแบบเชิงรับ หรือ Passive Fund คืออะไร เราก็ต้องมาทำความรู้จักกับกองทุนดัชนีแบบเชิงรุก หรือ Active Fund กันด้วยว่า ทั้ง 2 รูปแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้นักลงทุนหน้าใหม่ หรือผู้ที่เริ่มต้นศึกษาการลงทุนได้เลือกรูปแบบการลงทุนได้ถูกวัตถุประสงค์ เพราะการลงทุนในกองทุนดัชนี ทั้ง 2 รูปแบบนี้ มีความแตกต่างกัน
 

1. กองทุนดัชนีมีวิธีการรับรู้และเข้าใจตลาดแตกต่างกัน

ดังที่กล่าวไปข้างต้น กองทุนดัชนีแบบเชิงรับ หรือ Passive Fund นั้นเน้นสร้างผลตอบแทนตามตลาดหรือดัชนีราคาสินทรัพย์ที่อ้างอิง เพราะ Passive Fund จะมองว่า ทุกอย่างเคลื่อนไหวตามกลไกของตลาด จึงไม่จำเป็นต้องสร้างผลตอบแทนให้นำหรือฉีกจากตลาดจนเกิดเป็นความเสี่ยง แต่ในมุมกลับกัน ผู้จัดการกองทุน ดัชนีแบบ Active Fund จะมองว่า มูลค่าการตลาดสามารถสร้างให้มีผลตอบแทนได้มากกว่านั้น ดังนั้นกองทุนดัชนีแบบเชิงรุก Active Fund จึงมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญ และนักวิเคราะห์จำนวนมาก ที่ช่วยกันคิดกลยุทธ์และเทคนิคเพื่อหาทางเอาชนะตลาด

หรือจะสรุปง่าย ๆ ว่า Passive Fund มีวิธีการรับรู้และเข้าใจตลาด ตามสภาวะความเป็นจริง ลื่นไหลไปตามความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น การเข้าซื้อหุ้นจึงซื้อตามดัชนีอ้างอิง และเกาะตามกระแสไปเรื่อย ๆ แต่กองทุนดัชนีแบบ Active Fund จะมีมุมมองและเข้าใจตลาดว่า ถึงแม้เศรษฐกิจหรือปัจจัยแวดล้อมโดยรวมของโลกจะเป็นอย่างไร ก็มักจะมีหนทางให้เข้าทำกำไรได้เสมอ ดังนั้นกองทุนดัชนีแบบ Active Fund จะพยายามเลือกซื้อหุ้นโดยคัดเลือกตัวที่ดีที่สุด และมีแนวโน้มว่า จะไม่ได้รับผลกระทบมากนักเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
 

2. กองทุนดัชนีมีวิธีการสร้างผลกำไรที่แตกต่างกัน

ด้วยมุมมอง Passive Fund ที่เชื่อว่าทุกอย่างล้วน เปลี่ยนแปลงตามกระแสของตลาด และราคาประเมินมูลค่าของดัชนี (Benchmark) ที่กำหนดมานั้น มีความสมเหตุสมผลอยู่แล้ว วิธีการสร้างผลกำไร จึงอ้างอิงตามสถิติที่บันทึกไว้ทั้งกำไรและขาดทุน ส่วนกองทุนดัชนีแบบ Active Fund จะเชื่อว่า ทุกการลงทุน สามารถสร้างผลกำไรที่สูงกว่าราคาประเมินได้ ถ้ามีกลยุทธ์ที่ดี รู้จักจังหวะการเข้าทำกำไร วิธีการสร้างผลกำไรจึงไม่สนใจกรอบของราคาประเมิน และมักจะหลุดจากสถิติที่บันทึกไว้
 

3. กองทุนดัชนีมีวิธีตรวจสอบความเสี่ยงแตกต่างกัน

ข้อนี้มีความสำคัญมากที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ เพราะการลงทุนในกองทุนรวมดัชนี แบบ Passive Fund จะพยายามเลียนแบบผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีราคาที่ใช้อ้างอิงมากที่สุด นักลงทุนจึงอาจจะคาดหวังผลตอบแทนตามนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว กองทุนมีค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียม แต่ตัวดัชนีไม่มีค่าใช้จ่าย ดังนั้น ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจึงต้องหักค่าใช้จ่ายก่อนที่จะออกมาเป็นผลตอบแทนสุทธิ ซึ่งจุดนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญสำหรับนักลงทุนในการเลือกซื้อกองทุนดัชนี เพราะถ้าหากนักลงทุน ตัดสินใจมาทางสาย Passive Fund แล้ว ควรเลือกกองทุนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด เพื่อให้ผลตอบแทนสุทธิใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีที่สุด

และช่องว่างที่แตกต่างกันของผลตอบแทนระหว่างกองทุนดัชนี กับตัวดัชนีจะเรียกว่า Tracking Error ซึ่งรวมไปถึงค่าความเสี่ยง เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้จัดการกองทุนเห็นว่า อัตราผลตอบแทนเริ่มแตกต่างจากเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) ไม่ว่าจะมากกว่าหรือน้อยกว่าก็ตาม ถ้าแนวโน้มเริ่มจะฉีกจากราคาตลาด ไม่มีความใกล้เคียง ผู้จัดการกองทุนจะมองว่ามีความเสี่ยงสูง เรียกว่าเป็น Tracking Error ได้เช่นเดียวกัน

ในขณะเดียวกันกองทุนดัชนีแบบ Active Fund จะไม่ประเมินความเสี่ยงจากค่ามาตรฐานของตลาด แต่จะยึดหลักการวิเคราะห์แนวโน้มของผลตอบแทนว่าจะไปในทิศทางใด โดยอ้างอิงจากเครื่องมือช่วยเทรดต่าง ๆ หากผลที่ออกมามีอัตราสูงกว่าค่ามาตรฐานของตลาด ยิ่งสูงมากเท่าไหร่ ผู้จัดการกองทุนจะมองว่ายิ่งมีโอกาสทำกำไรได้มากเท่านั้น และด้วยกองทุนดัชนีแบบ Active Fund เต็มไปด้วยบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมากมาย ทำให้มีค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง ดังนั้นนักลงทุนต้องพิจารณาและตัดสินใจให้รอบคอบก่อนการลงทุน
 
จุดเด่นและข้อจำกัดของกองทุน passive fund

สาย Passive Fund ควรทราบ จุดเด่นและข้อจำกัดของกองทุนรวมดัชนีมีอะไรบ้าง

มาถึงจุดนี้นักลงทุน หลายคนอาจจะตัดสินใจได้แล้วว่า จะมาเป็นสาย Passive Fund ดีหรือไม่ เพราะกองทุนนี้มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น คือ “การลงทุนอย่างเรียบง่าย” และในส่วนของนักลงทุนที่ยังลังเลอยู่ว่า ควรจะเลือกลงทุนดีไหม เรามาเจาะลึกถึงข้อดี ที่รวมไปถึงข้อจำกัดให้ชัด ๆ กันเพิ่มเติม เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
 
  1. มีค่าใช้จ่ายต่ำ
    ด้วยนโยบายกองทุนที่เลียนแบบผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีที่ใช้อ้างอิง ทำให้ Passive Fund ไม่ต้องใช้บุคลากรหรือทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษเพื่อช่วยวิเคราะห์คัดเลือกหลักทรัพย์ที่ลงทุน ค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมกองทุนจึงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกองทุนแบบ Active Fund

  2. ไม่ต้องเสียเวลาเลือกหุ้นเอง
    กองทุนรวมดัชนีที่ซื้อหุ้นตามดัชนีที่ใช้อ้างอิง ไม่ต้องเสียเวลาในการคัดเลือกหุ้นเอง เพราะกองทุนจะเข้าซื้อหุ้นตามดัชนี และสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีราคานั้น ๆ

  3. ถือครองได้ระยะยาว ไม่ต้องปรับพอร์ตบ่อย ๆ
    น่าจะเป็นที่ถูกใจของนักลงทุนที่ชอบการลงทุนระยะยาว เพราะ Passive Fund มีนโยบายที่จะเกาะความเคลื่อนไหวของตลาดไปเรื่อย ๆ นักลงทุนจึงสามารถถือครองได้ระยะยาว
เมื่อได้ทราบถึงจุดเด่นของ Passive Fund กันแล้ว มาถึงข้อจำกัดของกองทุนรวมดัชนีกันบ้าง แน่นอนเพราะการลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง ซึ่ง Passive Fund ก็มีข้อจำกัดที่นักลงทุนควรทราบเช่นกัน
 

ข้อจำกัดบางประการของกองทุนแบบ Passive Fund

  1. นักลงทุนต้องถือสินทรัพย์ตามดัชนีตลอดเวลา
    ด้วยนโยบายของกองทุนที่สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีที่เลือกลงทุน ทำให้ไม่ว่าตลาดนั้นจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง นักลงทุนก็ต้องถือสินทรัพย์ตามดัชนีอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าเป็นช่วงขาขึ้น ผลตอบแทนที่ได้รับก็จะดีและน่าพอใจ แต่ถ้าเป็นช่วงขาลง นักลงทุนก็จะได้ผลตอบแทนที่ลดลงตามไปด้วย

  2. ไม่มีการเปลี่ยนกลยุทธ์
    เมื่อเลือกลงทุน Passive Fund แล้ว นักลงทุนต้องพึงระลึกว่า กองทุนรวมดัชนีนี้จะไม่เปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนเป็นอย่างอื่น จะมุ่งสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีที่ใช้อ้างอิงมากที่สุดเพียงอย่างเดียว ดังนั้น หากนักลงทุนคาดหวังให้กองทุนไปลงทุนกับหุ้นตัวอื่นที่มีความร้อนแรงกว่า ถือว่าผิดวัตถุประสงค์ของกองทุนดัชนีแบบนี้ ดังนั้น นักลงทุนควรรอบคอบและศึกษาข้อมูลการลงทุนให้ละเอียด

เลือกอย่างไรให้ได้ Passive Fund ที่ดี

มาถึงคำถามที่นักลงทุนหลายคนต้องการคำตอบ “ควรเลือกกองทุนดัชนีตัวไหนดี” อันดับแรก เรามาทราบกันก่อนว่า Passive Fund เหมาะกับใครบ้าง เพื่อให้นักลงทุนได้เริ่มต้นสำรวจตัวเองก่อนว่า เหมาะสมกับกองทุนดัชนี ประเภทนี้หรือไม่
  1. กองทุนดัชนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ชอบการลงทุนระยะยาว เพราะ Passive Fund จะมีการปรับพอร์ตทุก ๆ 6 เดือน หรือ 1 ปีต่อครั้งตามที่ดัชนีกำหนดเท่านั้น
  2. กองทุนดัชนี้เหมาะกับนักลงทุนที่เข้าใจนโยบายของกองทุนดีว่า จะได้รับผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนีที่ใช้อ้างอิงเท่านั้น รวมไปถึงความเสี่ยงที่ได้รับก็จะอยู่ในระดับเดียวกันกับดัชนีด้วย ไม่มีการเปลี่ยนการลงทุนไปสู่หุ้นตัวอื่นที่อยู่นอกเหนือจากดัชนีที่ใช้อ้างอิง
  3. กองทุนดัชนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ หรือนักลงทุนที่ไม่มีเวลาวิเคราะห์เลือกหุ้นเอง รวมไปถึงนักลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนล้อไปกับตลาด
เมื่อได้ทราบแล้วว่า Passive Fund เหมาะกับใครบ้าง เราจะแนะนำหลักการเลือกกองทุนดัชนีตัวไหนดีกันต่อ ในข้อมูลเบื้องต้นเราได้กล่าวถึง Tracking Error กันไปแล้ว ตัว Tracking Error นี้เองที่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ใช้ในการเลือกกองทุนดัชนี

โดยนักลงทุนสามารถดูข้อมูลกองทุนดัชนีที่ต้องการซื้อว่า มีผลตอบแทนที่แตกต่างจากดัชนีอ้างอิงมากน้อยเพียงใดได้จากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ (Fund Fact Sheet) หากพบว่ากองทุนนั้น ๆ ให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าผลตอบแทนของดัชนีมากเกินไป เช่น ผลตอบแทนของดัชนี SET50 อยู่ที่ +10% แต่กองทุนรวมดัชนี SET50 กลับกลับอยู่ที่ +5% แบบนี้จะเรียกว่ามีความแตกต่างและผิดเพี้ยนไปจากเกณฑ์มาตรฐานมาก เรียกว่า Tracking Error สูง ก็อาจจะไม่เหมาะที่จะเลือกลงทุน เป็นต้น

สาเหตุที่ทำให้เรากล่าวว่า กองทุนที่มี Tracking Error สูง ยังไม่น่าลงทุนนั้น เพราะอย่าลืมว่ากองทุนดัชนีแบบ Passive Fund มีเป้าหมายในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนีที่ใช้อ้างอิงเท่านั้น การที่กองทุนดัชนีมีอัตราที่ไม่ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงย่อมมีความเสี่ยงสูงกว่าตลาด และถือว่าการเคลื่อนไหวของกองทุนไม่ได้เป็นไปตามกระแสตลาดอย่างแท้จริง จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนแบบ Passive

ดังนั้นแล้วนักลงทุนจึงควรเลือกกองทุนที่มีค่า Tracking Error ต่ำ เพราะจะให้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของของดัชนีที่ใช้อ้างอิงจริง ๆ
 
แนะนำกองทุนดัชนี passive fund

แนะนำกองทุนดัชนีแบบ Passive Fund ยอดนิยมจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา

จากข้อมูลของกองทุนดัชนีแบบ Passive Fund ที่กล่าวมาข้างต้น ธนาคารกรุงศรีอยุธยาขอแนะนำ Passive Fund เพื่อตอบโจทย์นักลงทุน เพื่อโอกาสสร้างการเติบโตให้กับพอร์ตการลงทุน ได้แก่
  1. กองทุนเปิดกรุงศรียูเอสอิควิตี้อินเด็กซ์เฮดจ์เอฟเอ็กซ์-สะสมมูลค่า (KFUSINDX-A)
  2. กองทุนเปิดกรุงศรี SET100-สะสมมูลค่า (KFS100-A)
  3. กองทุนเปิดกรุงศรีไชน่าอิควิตี้ CSI 300 ชนิดสะสมมูลค่า (KFCSI300-A)
Passive Fund หรือกองทุนรวมดัชนีที่มีสไตล์เรียบง่าย เหมาะสำหรับนักลงทุนทั้งมือใหม่และผู้มีประสบการณ์สูง รวมไปถึงผู้ที่กำลังสนใจศึกษาด้านการลงทุน กองทุนดัชนีชนิดนี้มาพร้อมกับกลยุทธ์ “สร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีที่ใช้อ้างอิงเท่านั้น” นักลงทุนจึงไม่ต้องมาคัดเลือกหุ้นเอง และสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวด้านการเงินและการลงทุนจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ โดยติดต่อผ่านช่องทางฮอตไลน์ได้ที่ 02-296-5959 ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00 น. - 17.00 น. หรือฝากข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับก็ได้เช่นกัน

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
  • ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมดัชนี มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
  • กองทุน KFUSINDX-A เป็นกองทุนที่ลงทุนกระจุกตัวในประเทศ หรือกลุ่มประเทศที่กองทุนลงทุน ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย
  • กองทุน KFCSI300-A อาจทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินในหลักทรัพย์สกุลเงินตราต่างประเทศที่กองทุนดัชนีถืออยู่ โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทจัดการซึ่งอาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมฯ โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และในกรณีที่ไม่ได้ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงิน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

บทความโดย
สิรภัทร เกาฏีระ CFP®
กลุ่มบริการที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
pym logo
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา