เป็นมนุษย์เงินเดือนก็ลงทุนได้นะครับ! สำหรับข้อแนะนำการลงทุนสำหรับมนุษย์เงิน ที่เน้นการลงทุนเป็นประจำ สร้างวินัยการออม การบริหารเงินในแต่ละเดือนให้มีเงินเก็บ แล้วได้กำไรการลงทุน ที่มีอยู่อย่างมากมายตามเว็บการเงินต่าง ๆ นั้นหลายคนอาจคิดว่ามันยาก และไม่เข้าใจ แต่บทความนี้จะทำให้คุณเข้าใจง่าย ๆ มาดูกันครับว่ามีอะไรที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราสามารถลงทุนได้บ้าง
ลงทุนอะไรดี... ลงทุนในกองทุนรวม
ยกตัวอย่างการมีพอร์ตการลงทุนในกองทุนรวม อัตราผลตอบแทน 5 ปี เฉลี่ย 25% เท่ากับผลตอบแทน 5% ต่อปี ยังไม่รวมเงินปันผล โดยผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมที่ยังไม่รวมเงินปันผล เพราะปกติแล้วการลงทุนในกองทุนรวมจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี หมายความว่าหากเราลงทุนไป 1 แสนบาท เงินของเราจะงอกเงยเป็น 2 แสนบาท หรือกว่าเท่าตัวในเวลาไม่เกิน 10 ปีนั่นเองครับ
ลงทุนอะไรดี... ลงทุนในคอนโดมิเนียม
จากสถิติที่ผ่านมาคอนโดมิเนียมมีราคาเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ในสมัยก่อนคอนโดมิเนียมใกล้สถานีรถไฟฟ้านั้นขายตารางเมตรละ 4 หมื่นบาท ถือว่าแพงมาก ๆ แต่ปัจจุบันหากเป็นย่านที่ผู้คนพลุกพล่าน คอนโดมิเนียมใกล้สถานีรถไฟฟ้านั้นราคาสูงกว่า 2 แสนบาทต่อตารางเมตร หลายคนอาจคิดว่ามันแพง แต่ถ้านำไปเปรียบเทียบกับราคาคอนโดของกรุงโตเกียวที่ตกตารางเมตรละกว่า 8.9 แสนบาท คอนโดของสิงคโปร์ที่ตกตารางเมตรละกว่า 9 แสนบาท และคอนโดของเกาะฮ่องกงที่ตกตารางเมตรละกว่า 1 ล้านบาท!! ใครจะไปคิดครับว่าราคาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ราคาจะไปสุดที่เท่าไหร่ หากเราเป็นมนุษย์เงินเดือนพอมีเงินเหลือ การทยอยผ่อนคอนโดมิเนียมทุกเดือน ๆ ถือเป็นการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยทุกเดือนเหมือนกัน
เคล็ดลับก็คือ เลือกคอนโดมิเนียมชานเมืองที่ราคายังไม่สูงมาก แต่ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าผ่านเส้นทาง ไม่แน่นะครับเราอาจขายได้ราคาดีกว่าที่เราคิด ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่น่าสนใจทีเดียวครับ
ลงทุนอะไรดี... ลงทุนในหุ้นแบบถัวเฉลี่ย
หลายคนคิดว่าการลงทุนในหุ้นต้อง “ซื้อ ๆ ขาย ๆ” ตลอดเวลา แต่ความเป็นจริงแล้วการลงทุนในหุ้นเราสามารถซื้อแบบถัวเฉลี่ยทุกเดือนได้ครับ เราสามารถเข้าไปสอบถามนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ สอบถามดูว่ามีโปรแกรมการซื้อหุ้นแบบถัวเฉลี่ยให้บริการหรือเปล่า การจัดพอร์ต เราควรเลือกหุ้นไม่เกิน 5 ตัว ยกตัวอย่างเช่น หุ้นรถไฟฟ้า หุ้นโรงพยาบาล หุ้นค้าปลีก หุ้นอสังหาริมทรัพย์ หุ้นธนาคาร (เรื่องตัวหุ้นและรายละเอียดผู้ลงทุนควรศึกษาอย่างละเอียดอีกครั้งนะครับ) แล้วให้ตัดเงินจากบัญชีไปซื้อหุ้นแบบถัวเฉลี่ยทุกเดือน หรือ Dollar Cost Average ข้อดีของการทำแบบนี้ก็คือ เราสามารถเลือกหุ้นที่ต้องการด้วยตนเอง แล้วให้ตัดเงินจากบัญชีออมทรัพย์ของเราไปทุก ๆ เดือน โดยเราไม่ต้องเสียค่าบริหารจัดการกองทุน ถ้าเราซื้อผ่านกองทุนรวมที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลให้อีกที ซึ่งค่าบริหารจัดการนั้นค่อนข้างแพงครับ แต่ข้อเสียก็คือ ถ้าเราเลือกหุ้นผิดแทนที่จะกำไร กลับขาดทุนก็มี ทางที่ดีควรศึกษาเรื่องการลงทุนหุ้นไว้บ้าง หรือเลือกลงทุนในหุ้นที่แข็งแกร่งไว้ก่อนจะดีที่สุดครับ
การลงทุนทั้งสามรูปแบบที่ผมสรุปมาให้นั้น ถือเป็นแนวทางที่ดีสำหรับมนุษย์เงินเดือน และเป็นการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยความเสี่ยงหรือ Dollar Cost Average เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ไม่มีเวลาไปดู หรือต้องเฝ้าติดตามสินทรัพย์ที่เราลงทุนแบบตลอดเวลา เพราะการลงทุนแบบนี้จะเป็นแบบ “อัตโนมัติ” คือ ตัดเฉลี่ยไปทุกงวด ทุก ๆ เดือนที่เราตั้งวันให้ตัดเอาไว้ครับ ข้อดีอย่างชัดเจนก็คือ “ประหยัดเวลาติดตาม” เอาเวลาไปทำงานประจำเก็บเงินสะสมสินทรัพย์ไปเรื่อย ๆ แต่อย่างไรก็ตามหากเราพอมีเวลาควรแบ่งเวลามาตรวจดูสินทรัพย์ที่เราสะสมไว้บ้างนะครับ เพื่อความไม่ประมาท หากทำได้แบบนี้รับรองได้เลยว่าเมื่อมนุษย์เงินเดือนเกษียณแล้วจะมีความสุขกับสินทรัพย์ที่สะสมไว้ และไม่ลำบากในยามที่เราไม่ได้มีเงินเดือนมาหล่อเลี้ยงชีวิตอีกแล้ว
รีบทำก่อน ลงทุนก่อน ก็จะยิ่งดีกับตัวเราเองนะครับ