การวางแผนการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงคืออะไรและทำไมเราต้องให้ความสำคัญนัก?
การวางแผนลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง (Diversification) คือ กลยุทธ์กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อไม่ทำให้ตัวนักลงทุนขาดทุนอย่างหนักจากการลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป กลยุทธ์นี้สามารถปรับใช้ได้กับนักลงทุนทุกรูปแบบ ไม่ใช่เพียงแค่การลงทุนในกองทุนหรือหุ้นเท่านั้น
เหตุผลที่คุณควรลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง
ลดความเป็นไปได้ที่จะ “เจ็บหนัก”
เจ็บหนักในที่นี้คือการขาดทุนมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าหากผู้ลงทุนมีการลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไป การกระจายความเสี่ยงจะช่วยลดทอนความเสียหายหากเกิดความผันผวนสูงในตลาด เนื่องจากผู้ลงทุนมีการลงทุนที่หลากหลาย
เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว
การวางแผนการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงเหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว เพราะผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องจับตาตลาดอยู่ตลอดเวลาเพื่อซื้อขายหุ้นหรือสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่ง แต่เป็น
การประเมินความเสี่ยงล่วงหน้า และปล่อยให้เงินทำงานของตัวเอง โดยผู้ลงทุน
ควรรีวิวพอร์ตการลงทุนของตัวเองในทุกๆ ครึ่งปี
ตัวอย่าง เปรียบเทียบการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง
ตัวอย่างที่ 1 ลงทุนเพียงกองทุนเดียว
ผู้ลงทุนมีพอร์ตการลงทุนมูลค่า 100,000 บาท ไม่กระจายความเสี่ยงลงทุน ลงทุนเต็มที่ 100% ในกองทุนหุ้นกองทุนเดียวแล้ว ขาดทุน 10% เท่ากับว่าผู้ลงทุนขาดทุนไปเต็มๆ 10,000 บาท
ตัวอย่างที่ 2 กระจายการลงทุน ลงทุน 3 กองทุน
ผู้ลงทุนมีพอร์ตการลงทุนมูลค่า 100,000 บาท โดยใช้การจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยง โดยแบ่งการลงทุนออกเป็น 3 กอง กองทุนหุ้น 50% (50,000 บาท) กองทุนตราสารหนี้ 26% (26,000 บาท) และกองทุนผสม 24% (24,000 บาท) ต่อมาเกิดความผันผวนในตลาด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
- กองทุนหุ้น ขาดทุน 10% (ขาดทุน 5,000 บาท)
- กองทุนตราสารหนี้ เท่าทุน
- กองทุนผสม กำไร 10% (กำไร 2,400 บาท)
นั่นเท่ากับว่าภายใต้ความเปลี่ยนแปลงของตลาด ผู้ลงทุนรายนี้ขาดทุนเพียง 2,600 บาทเท่านั้น
จากตัวอย่างทั้งสองแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของนักลงทุน 2 ประเภทได้อย่างชัดเจน เมื่อเกิดเหตุการณ์ตลาดผันผวนผู้ที่ลงทุนกองทุนเดียว ขาดทุนถึง 10,000 บาท ส่วนตัวอย่างที่สองมีการจัดพอร์ตการลงทุน กระจายไปตามกองทุนต่างๆ ทำให้ขาดทุนเพียง 2,600 บาท แสดงให้เห็นว่าการกระจายการลงทุนช่วยลดความเสี่ยงได้มากพอสมควรเลยทีเดียว
ตัวอย่างกองทุนที่น่าสนใจสำหรับการกระจายความเสี่ยง
กองทุนเปิดกรุงศรีเวิล์ดเทคอิควิตี้เฮดจ์เอฟเอ็กซ์ ชนิดสะสมมูลค่า (KFHTECH-A)
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี (ข้อมูล ณ วันที่ 31/03/2021)
86.41%
กลยุทธ์การลงทุน
- ลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีธุรกรรมเศรษฐกิจที่โดดเด่นในหมวดเทคโนโลยีทั่วโลก ผ่าน BGF World Technology Fund (Class D2 USD) (กองทุนหลัก) ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
- กองทุนหลักมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนรวมสูงสุด (Maximize Total Return) โดยผสมผสานการลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ ที่มีความมั่นคงสูง และบริษัทที่มีการเติบโตสูง พอร์ตการลงทุนประกอบด้วย 80 –120 หลักทรัพย์
- ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล
จุดเด่นของกองทุน
- ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำขนาดใหญ่ โอกาสแห่งการลงทุนท่ามกลางความก้าวหน้าทางนวัตกรรมและเทคโนโลยี
- ใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและขับเคลื่อนจากการวิเคราะห์ในเชิงลึก เพื่อค้นหาโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น AI, Cloud, Computing เป็นต้น
- กองทุนหลักมีประวัติผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในระยะยาวเมื่อเทียบกับคู่แข่งและดัชนีชี้วัด โดยได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar
ตัวอย่างหุ้นที่ลงทุน เช่น Apple Inc, Microsoft Corp, Tesla Inc และ Amazon Com Inc
ความเสี่ยง
กองทุน KFHTECH-A มีความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) ยังมีการดำเนินการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 90% ของเงินลงทุนในต่างประเทศ ทำให้มีความสามารถในการรองรับความผันผวนของค่าเงินได้อีกด้วย ผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจึงไม่ควรพลาด
คำเตือน
- กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก
- Morningstar rating จาก Blackrock ณ 31 มี.ค. 64 โดยการจัดอันดับดังกล่าว ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนแต่อย่างใด
- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนการลงทุน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
หนังสือชี้ชวนสรุปข้อมูลสำคัญกองทุน KFHTECH-A
กองทุนเปิดวรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ (ONE-UGG-RA)
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ข้อมูล ณ วันที่ 31/03/2021
74.60%
กลยุทธ์การลงทุน
ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund) ซึ่งลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีการใช้นวัตกรรมล้ำสมัยและต้องการปฏิรูปอุตสาหกรรมดั้งเดิม รวมถึงเป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตสูง โดยไม่จำกัดรูปแบบอุตสาหกรรม
จุดเด่นของกองทุน
กองทุนเปิด ONE-UGG มีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนแม่ Baillie Gifford Long Term Global Growth (LTGG) เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนซึ่งกองทุนฯ จะเน้นการลงทุนในหุ้นสามัญ โดยมีแนวทางการลงทุน คือ
- ลงทุนในระยะยาว โดยใช้กระบวนการคัดเลือกหุ้นเพื่อลงทุนด้วยวิธีการวิเคราะห์แบบ Bottom-up
- ลงทุนในหุ้นทั่วโลก โดยไม่มีข้อจำกัด เช่น ภูมิภาค อุตสาหกรรม มูลค่าตลาดของหุ้นที่ลงทุน
- ลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเติบโตโดดเด่น (Exceptional growth) โดยมีความสามารถในการแข่งขัน (Competitive advantage) ในปัจจุบันเหนือคู่แข่งแต่ละประเภทธุรกิจ
ตัวอย่างหุ้นที่ลงทุน เช่น Tesla Inc, Tencent, Amazon และ Netflix Inc
นอกเหนือจากนั้น ONE-UGG-RA ยังมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยยืดหยุ่นตามดุลพินิจของบริษัทจัดการ เพื่อผลประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นหลักอีกด้วย จึงเหมาะสำหรับการถือยาวและลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงจากกองทุนอื่นเป็นอย่างยิ่ง
คุณสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
หนังสือชี้ชวนกองทุน ONE-UGG-RA
ความเสี่ยง
กองทุน ONE-UGG-RA มีความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ จึงมีความเสี่ยงด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สภาวะตลาด สภาพคล่อง อัตราแลกเปลี่ยน ฯลฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อมูลค่าหน่วยลงทุนและฐานะของผู้ลงทุนเอง
คำเตือน
- กองทุน Bailie Gifford Worldwide Long Term Global Growth Fund (กองทุนหลัก) อาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหลัก กองทุนจึงมีความเสี่ยงมากกว่ากองทุนรวมอื่น จึงเหมาะสมกับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงและสามารถรับความเสี่ยงได้สูงกว่าผู้ลงทุนทั่วไป
- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนการลงทุน
หากคุณอยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุนรวม ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรควรปรับพอร์ตการลงทุนแบบไหน ทางธนาคารกรุงศรีมีทีม ที่ปรึกษาด้านการลงทุน คอยให้คำแนะนำการลงทุน เพื่อให้คุณเริ่มลงทุนได้อย่างมั่นใจ
สามารถขอรับคำแนะนำได้ที่ 02-2965959 หรือฝากข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ
คลิก
บทความโดย
สิรภัทร เกาฏีระ CFP®
กลุ่มบริการที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา