“ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกเบี้ยกำลังจะเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาลง ถ้าเราถือหุ้นกู้ที่ให้ดอกเบี้ยสูง ก็จะกลายเป็นของที่มีค่าในตลาดมาก ๆ และกลายเป็นสินทรัพย์ที่ทำให้เราสามารถสร้างผลกำไรที่มากขึ้น”
จากคำกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นสัญญาณว่าธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย ก็จะมีนักลงทุนหลายคนเข้าไป
ซื้อหุ้นกู้ระยะยาวกันมากขึ้น เนื่องจากมีโอกาสสูงที่สามารถได้ประโยชน์ทั้งการเก็งกำไรจากมูลค่าที่ปรับตัวสูงขึ้น หรือลงทุนระยะยาวเพื่อรับดอกเบี้ยสูงกว่าตลาดนั่นเอง
การลงทุนหุ้นกู้ในช่วงนี้จึงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ เนื่องจากทางธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) ได้มีการส่งสัญญาณเรื่องการลดดอกเบี้ยในช่วงเดือนกันยายน 2567 ดังนั้นเราสามารถใช้โอกาสนี้ในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นกู้
หากคุณเป็นอีกคนที่อยากลงทุนในหุ้นกู้ แต่ยังไม่มีพื้นฐานหรือประสบการณ์เลย วันนี้ Krungsri The COACH จะเล่าให้ฟังว่า หุ้นกู้คืออะไร มีความน่าสนใจอย่างไร และเราจะได้ประโยชน์ในการลงทุนจากหุ้นกู้อย่างไรได้บ้าง
หุ้นกู้คืออะไร
หุ้นกู้ คือ ตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่บริษัทเสนอขายเพื่อใช้ในการระดมทุนจากนักลงทุนที่สนใจ โดยบริษัทจะจ่ายดอกเบี้ยให้กับนักลงทุนตามอัตราและระยะเวลาที่กำหนด และคืนเงินต้นให้กับนักลงทุนเมื่อครบกำหนด เปรียบเสมือนการให้กู้ยืมเงินของเรากับบริษัทนั่นเอง พูดง่าย ๆ ให้เห็นภาพได้ดังนี้
- ผู้ลงทุนในหุ้นกู้ คือ เจ้าหนี้
- บริษัทที่ออกหุ้นกู้ คือ ลูกหนี้
ตัวอย่างเช่น บริษัท A ออกหุ้นกู้ สามารถซื้อได้หน่วยละ 100,000 บาท โดยจะจ่ายดอกเบี้ยให้เราปีละ 5% และหุ้นกู้มีอายุ 5 ปี สมมติเราลงทุน 100,000 บาท เราจะได้รับเงินกลับมาปีละ 5,000 บาท และเมื่อครบสัญญาในปีสุดท้าย บริษัทจะจ่ายเงินต้นคืนเราจำนวน 100,000 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยงวดสุดท้ายคืนให้กับเราด้วย
รู้จักกับประเภทของหุ้นกู้ตามอายุ เลือกแบบไหนเหมาะกับคุณ
หากเราไปดูข้อมูลหุ้นกู้ในตลาด เราจะเห็นได้ว่าหุ้นกู้นั้นมีอายุที่แตกต่างกัน ซึ่งเราสามารถแบ่งประเภทอายุออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1. หุ้นกู้ระยะสั้น (3 เดือน – 1 ปี)
เป็นหุ้นกู้ที่เราสามารถนำเงินไปลงทุนไว้ในระยะเวลาสั้น ๆ ถือว่าเป็นที่พักเงินชั่วคราวก่อนนำเงินไปลงทุนระยะยาวต่อในอนาคต หุ้นกู้ประเภทนี้จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการสภาพคล่องสูง และมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นกู้ประเภทอื่น ๆ เนื่องจากมีระยะเวลาลงทุนไม่นาน อย่างไรก็ตามเมื่อเราลงทุนในหุ้นกู้ระยะสั้นจนครบกำหนดแล้วก็ควรจะหาแหล่งลงทุนอื่น ๆ เพื่อให้เงินได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง
2. หุ้นกู้ระยะกลาง (1 - 5 ปี)
เป็นหุ้นกู้ที่เราจะต้องลงทุนในระยะเวลา 1 - 5 ปี เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้น สามารถรับความเสี่ยงต่าง ๆ และปัจจัยความไม่แน่นอนต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้มากขึ้น
3. หุ้นกู้ระยะยาว (5 ปีขึ้นไป)
เป็นหุ้นกู้ที่เราจะต้องลงทุนในระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง สามารถรับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในระดับที่สูงกว่าการลงทุนในระยะกลาง โดยส่วนใหญ่นักลงทุนที่มีประสบการณ์จะพิจารณาจังหวะและโอกาสที่ดีเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
4. หุ้นกู้ที่ไม่มีกำหนดไถ่ถอน
มีชื่อที่เรียกกันในหมู่นักลงทุนว่า “หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์” เป็นหุ้นกู้ที่ไม่มีวันกำหนดการไถ่ถอน เราจะถือครองหุ้นกู้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าบริษัทจะเลิกกิจการ หรือเมื่อบริษัทขอไถ่ถอนก่อนกำหนดจึงเป็นหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูงมาก สภาพคล่องน้อยเพราะไม่มีกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนที่ชัดเจน
การเลือกหุ้นกู้ตามอายุนั้นก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของนักลงทุนแต่ละคน บางคนต้องการลงทุนในหุ้นกู้ระยะสั้นเรื่อย ๆ ผลตอบแทนไม่ต้องมากเพื่อดูโอกาสใหม่ ๆ ที่เราจะได้เจอหลังจากอายุหุ้นกู้ครบกำหนด แต่นักลงทุนบางคนอาจจะต้องการเลือกลงทุนระยะยาวในทีเดียวเพื่อรับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่มากขึ้น
วิธีเลือกหุ้นกู้ เคล็ดลับจากนักลงทุนมือโปร
การลงทุนในหุ้นกู้คือการให้บริษัทต่าง ๆ ยืมเงินของเรา เพื่อเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายขึ้น ก่อนที่เราจะลงทุนในหุ้นกู้ ให้คิดเหมือนเวลาที่เพื่อนมายืมเงินเรา
1. ดูความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้
เวลาที่เพื่อนมายืมเงิน เราจะรู้เสมอว่าใครที่เราสามารถให้ยืมได้ ถึงเวลาก็เอาเงินมาคืน หรือเพื่อนคนไหนให้ยืมไม่ได้ ทวงแล้วไม่คืน ดังนั้นสิ่งที่เราจะพิจารณาคือความน่าเชื่อถือของเพื่อนคนนั้น ในการลงทุนหุ้นกู้ก็เช่นกัน เราจะดูจากการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่เรียกว่า Credit Rating ถ้าเครดิตดี แสดงว่าความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำ ก็มีโอกาสสูงในการได้ผลตอบแทนพร้อมเงินต้นคืน โดยอันดับความน่าเชื่อถือจะถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มน่าลงทุน หรือ Investment Grade คะแนนจะอยู่ที่ AAA ถึง BBB- และกลุ่มเก็งกำไร หรือ Speculative Grade คะแนนจะอยู่ที่ BB+ ลงไปจนถึง D
2. อย่าหลงไปกับอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับ
โดยปกติแล้วความเสี่ยงมักจะมีความสัมพันธ์กับดอกเบี้ยที่เราจะได้รับ เราจึงไม่ควรลงทุนในหุ้นกู้โดยดูแค่ว่าบริษัทนั้นให้ดอกเบี้ยสูงกว่าที่อื่นเพียงอย่างเดียว แต่ควรจะพิจารณาปัจจัยความเสี่ยงประกอบด้วย
3. ดูฐานะทางการเงิน
เราควรพิจารณาว่าเพื่อนที่จะยืมเงินเรา ทำงานอะไร แล้วจะยืมเงินไปทำอะไร ถ้าเพื่อนมีหน้าที่การงานดีและยืมเงินเพื่อไปทำธุรกิจที่น่าจะได้กำไรและสามารถคืนเงินเราได้ ก็สามารถไว้วางใจให้ยืมเงินได้
ซึ่งในการลงทุนหุ้นกู้นั้นเราก็จะพิจารณาในเรื่องสถานะทางการเงินของบริษัทเหมือนกัน รวมไปถึงสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทว่าสามารถจ่ายเงินคืนให้เราได้ตามที่กำหนดไหม ในกรณีที่เป็นบริษัททั่วไปสามารถเช็กได้กับทางเว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และหากบริษัทได้มีการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (มหาชน) สามารถเช็กได้ที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
4. ดูระยะเวลาไถ่ถอน
เวลาที่เพื่อนยืมเงินเราก็มักจะถามว่าจะคืนเมื่อไหร่ การลงทุนในหุ้นกู้ก็เช่นกัน เราจะต้องทราบข้อมูลเสมอถึงระยะเวลาในการไถ่ถอนหุ้นกู้ เพื่อที่เราจะได้วางแผนในการนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สินใหม่ ๆ ในอนาคต
กลยุทธ์การลงทุนหุ้นกู้
เมื่อเราทราบความหมายและลักษณะของหุ้นกู้ประเภทต่าง ๆ แล้ว ทีนี้เราลองมาดูกันว่า เราจะกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกู้ที่เหมาะสมกับตัวเราเองได้อย่างไร
1. เลือกหุ้นกู้ให้เหมาะสมกับเป้าหมายในการลงทุน
เป้าหมายในชีวิตของเรานั้นมีอยู่หลายอย่าง บางอย่างเป็นเป้าหมายระยะสั้น บางอย่างเป็นเป้าหมายระยะยาว ซึ่งเราสามารถใช้หุ้นกู้เป็นเครื่องมือในการลงทุนตามระยะเวลาที่เป็นเป้าหมายของเราได้
ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะลงทุนในหุ้นกู้ระยะสั้นสำหรับเก็บเงินไว้พาพ่อแม่ไปเที่ยวปีหน้า หรืออาจจะลงทุนในหุ้นกู้ระยะยาวที่มีกำหนดไถ่ถอนเงินใน 5 ปีข้างหน้า เพื่อเก็บเป็นทุนในการศึกษาบุตรสำหรับลูกที่เพิ่งเกิดไม่นาน
2. ใช้หุ้นกู้เป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน
ในการจัดพอร์ตการลงทุนนั้น เราจะต้องกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปยังทรัพย์สินต่าง ๆ หุ้นกู้นั้นก็เป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูงที่เรามักจะนำไปจัดพอร์ตร่วมกับหุ้น
ตัวอย่างเช่น หากเราต้องการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ก็สามารถลงทุนในหุ้นกู้ประเภท Investment Grade สัดส่วนการลงทุนประมาณ 60 - 80% และอีก 20 - 40% นั้นนำไปลงทุนในตราสารทุน (หุ้น) ได้
หากเราอยากจะเพิ่มความเสี่ยงเพื่อผลตอบแทนที่มากขึ้น ควรลงหุ้นกู้ 50% และลงตราสารทุน (หุ้น) อีก 50%
3. ติดตามผลการลงทุนว่าเป็นไปตามที่กำหนดหรือไม่
อย่าลืมว่าหุ้นกู้เป็นทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงเหมือนทรัพย์สินประเภทอื่น เราจะต้องติดตามข่าวสารและผลการลงทุนอยู่เสมอ ๆ และคอยตรวจสอบว่าบริษัทยังมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและไถ่ถอนหุ้นกู้ได้หรือไม่ และอย่าลืมปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายของเราอยู่เสมอ เพื่อให้เราสามารถลงทุนได้อย่างไร้กังวลและมีความสุขกับการลงทุนอยู่เสมอ
การลงทุนในหุ้นกู้มีความน่าสนใจอย่างมาก แต่เราต้องไม่ลืมการบริหารความเสี่ยงอยู่เสมอ เช่น การตรวจสอบความเสี่ยงของผู้ออกหุ้นกู้
ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นการลงทุนในหุ้นกู้จึงต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เพื่อนำไปวางกลยุทธ์ในการลงทุนให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละบุคคล
อ้างอิง