ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจคำว่าการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) กันก่อน การจัดสรรสินทรัพย์ การลงทุน คือการที่เรานำเงินลงทุนของเราไปลงทุนในสินทรัพย์การลงทุนประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ตราสารหนี้ หุ้น หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ อย่าง ทองคำ น้ำมัน อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ซึ่งการกระจายการลงทุนที่ดีนั้นต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคลด้วยว่าเป็นอย่างไร คนที่รับความเสี่ยงได้น้อยก็อาจจะเลือกกระจายการลงทุนใน ตราสารหนี้ ในสัดส่วนที่สูงกว่าตราสารอื่นๆที่มีความผันผวนที่สูงกว่า แต่ถ้าใครรับความเสี่ยงได้มากขึ้น ก็อาจจะเลือกการลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ทางเลือกที่เรามีความชำนาญมากขึ้น
แต่ด้วยหลักการของ Asset Allocation นั้น การกระจายเพียงแค่ตัวสินทรัพย์นั้นยังไม่เพียงพอ การทำ Asset Allocation ที่ดีนั้นยังควรคำนึงถึง ความเสี่ยงที่รับได้ และสินทรัพย์ที่ลงทุนด้วย รวมไปถึงการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท ก็ควรมีการกระจายความเสี่ยงในตัวเองด้วย เช่น ลงทุนในหุ้น ก็ไม่ควรลงหุ้นเพียง 1 ตัว หรือลงหลาย ๆ ตัวในอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น
- ลงทุนหุ้น PTT 1 ตัว แบบนี้ยังไม่มีการกระจายความเสี่ยง
- ลงทุนหุ้น PTT ESSO IRPC แบบนี้ก็ยังไม่ได้กระความเสี่ยงไปยังหลายอุตสาหกรรม เพราะเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเดียวกัน หากราคาน้ำมันปรับตัวลงอาจกระทบกับหุ้นกลุ่มนี้ได้
- ลงทุนหุ้น PPT BBL CPF อย่างนี้มีการกระจายความเสี่ยงโดยมีการกระจายหลากหลายอุตสาหกรรม
แต่ถ้าให้ดียิ่งกว่านั้นนอกจากการกระจายความเสี่ยงไปยังหลากหลายอุตสาหกรรมแล้ว เรายังสามารถกระจายการลงทุนไปยังประเทศอื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงได้อีกด้วย
โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนแทบทุกคนจะมีอคติ (Bias) กับสิ่งที่คุ้นเคยจนทำให้มองข้ามเรื่องของประสิทธิภาพในการลงทุนยังตลาดอื่นหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ไป ตัวอย่างเช่น นักลงทุนไทยก็มักจะคุ้นเคยกับตลาดลงทุนในไทย หุ้นไทย ตราสารหนี้ไทยมากกว่า
รู้หรือไม่ว่า!! ถ้าเราลงทุนแต่ในตลาดหุ้นไทยอาจเสียโอกาส การลงทุนในต่างประเทศซึ่งมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น แต่อย่าลืมว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง และการลงทุนในต่างประเทศก็มีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น เช่น ความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง ที่ต้องศึกษาเพิ่มเติม
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น จากกราฟด้านบนจะแสดงภาพเปรียบเทียบผลตอบแทน ระหว่าง SET Index (ตลาดหุ้นไทย) S&P500 Index (ตลาดหุ้นสหรัฐฯ) และ NIKKEI 225 Index (ตลาดหุ้นญี่ปุ่น) ย้อนหลัง 10 ปี ตั้งแต่ เดือนตุลาคม ปี 2010 จนถึงปัจจุบัน
เราจะเห็นได้ว่าช่วงปี 2010 จนถึงปัจจุบัน ถ้าลงทุนในดัชนี SET Index ตลอดระยะเวลา 10 ปี ให้ผลตอบแทนเพียง 39.90% ถ้าเทียบกับดัชนี S&P 500 และ NIKKEI 225 ซึ่งให้ผลตอบแทน 164.53% และ 141.15% ตามลำดับ จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าในช่วงที่ผ่านมาถ้าเราลงทุนเฉพาะหุ้นไทยเท่านั้น เราจะเสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
การลงทุนในต่างประเทศประเทศนั้นไม่ได้จำกัดแต่เพียงหุ้นเท่านั้น ยังมีสินทรัพย์อื่น ๆ ที่น่าลงทุนอีกมากมาย อย่างตราสารหนี้ที่มีให้เลือกหลากหลาย เช่น MBS, ABS, CMBS, High Yield Bond เป็นต้น ทำให้เรามีโอกาสในการเลือกสินทรัพย์ในการลงทุนได้มากขึ้น
การจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ที่ดีนั้น นอกจากจะกำหนดว่าเราจะลงทุนตราสารหนี้และหุ้นสัดส่วนเท่าไหร่บ้างแล้ว เราต้องห้ามลืม!! ด้วยว่าในสัดส่วนการลงทุนในหุ้นนั้นจะแบ่งไปลงทุนหุ้นอเมริกา ยุโรป เอเชียหรือไทยเท่าไหร่บ้าง และตราสารหนี้เองก็เช่นกันต้องแบ่งการลงทุนไปทั้งในตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะยาว ตราสารหนี้ที่ออกโดยภาครัฐและเอกชน รวมไปถึงตราสารหนี้ของไทยและต่างประเทศด้วย เพราะไม่มีนักลงทุนคนไหนที่สามารถคาดการณ์อนาคตได้ถูกต้องแม่นยำ การกระจายการลงทุนพร้อมกับวินัยการลงทุนจะเป็นตัวช่วยให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุนในระยะยาวได้
สำหรับนักลงทุนรายย่อยอาจจะมีข้อจำกัดทั้งเรื่องจำนวนเงินลงทุน เวลาในการติดตามข่าวสาร รวมไปการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ในการลงทุน จึงขอแนะนำว่าถ้าหากต้องการกระจายการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เราสามารถเลือกลงทุนผ่าน
“กองทุนรวม” ประเภทต่าง ๆ ได้
ในปัจจุบันกองทุนรวมเองก็มีสินทรัพย์การลงทุนให้เลือกลงทุนที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย หุ้นอเมริกา หุ้นยุโรป หรือจะเป็นตราสารหนี้ก็มีทั้งระยะสั้น ระยะยาว ของไทยและของต่างประเทศ เพียงแค่เราคัดเลือกกองทุนรวมที่มีคุณภาพแล้วก็เลือกซื้อตามสัดส่วนที่กำหนดได้เลย หากไม่รู้จะจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไร ธนาคารกรุงศรีฯ มีพอร์ตการลงทุนแนะนำให้สามารถอ่านเพิ่มเติมได้
ที่นี่
สำหรับใครต้องการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการทำกำไรจากกองทุนรวมสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้
คลิกที่นี่