หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของการลงทุนกองทุนรวมคือ
"การกระจายความเสี่ยงในการลงทุน" ซึ่งเปรียบเสมือนการนำไข่ไปวางไว้ในหลาย ๆ ตะกร้า หากตะกร้าหนึ่งหล่นแตก เราก็ยังมีไข่เหลือในตะกร้าอื่น ๆ เช่นเดียวกัน หากเราลงทุนในประเทศเดียว อาจพลาดโอกาสลงทุนในหุ้นภูมิภาคอื่น ๆ ที่อาจมีศักยภาพเติบโตที่ดีกว่าได้ การมองหาโอกาสในต่างประเทศผ่าน
"กองทุนรวมต่างประเทศ” จึงอีกเป็นหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยง
Krungsri The COACH จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับข้อดีของการกระจายความเสี่ยงการลงทุนต่างประเทศ พร้อมเปิดวาร์ป 4 ธีมกองทุนรวมต่างประเทศที่น่าลงทุนครึ่งปีหลัง 2024
4 เหตุผลที่นักลงทุนควรโกอินเตอร์ เริ่มลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ
1. ช่วยเพิ่มความหลากหลายในการลงทุน
จุดเด่นของประเทศไทย คือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมโลกเก่า และมีข้อจำกัดในการเติบโต แตกต่างกับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ในต่างประเทศที่กำลังถูกจับตาในการเป็นธุรกิจแห่งอนาคต มีการเติบโตสูง เช่น รถไฟฟ้า EV แพลตฟอร์มที่นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการผ่านโลกดิจิทัล ธุรกิจพลังงาน เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ ซึ่งเราสามารถลงทุนหุ้นของบริษัทเหล่านี้ผ่าน “กองทุนรวมต่างประเทศ" ได้
2. ช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนในประเทศ
ในแต่ละประเทศนั้นจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ รวมไปถึงศักยภาพการเติบโต การลงทุนกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่งจึงมีความเสี่ยงสูงกว่าการกระจายการลงทุนไปในหลาย ๆ ประเทศ หรือภูมิภาค โดยหากเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจหรือปัญหาการเมืองในประเทศนั้น ๆ ก็อาจส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนของเราทั้งพอร์ตได้
แต่หากเราลงทุนใน
“กองทุนรวมต่างประเทศ" โดยกระจายความเสี่ยงหลาย ๆ ประเทศ แม้จะมีบางประเทศที่กำลังเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจหรือการเมือง แต่ก็อาจจะยังมีอีกหลายประเทศที่ยังมีศักยภาพเติบโตได้อยู่ ทำให้ภาพรวมของพอร์ตไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
3. สามารถเข้าถึงธุรกิจระดับโลกได้
หากเราสังเกตดูจะเห็นได้ว่าธุรกิจระดับโลกนั้นล้วนอยู่ในต่างประเทศเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่จากอเมริกาอย่าง Microsoft, Google, Amazon, Apple และ Tesla หรือเป็นบริษัทจากฝั่งจีน เช่น Tencent, Alibaba และ ICBC ซึ่งบริษัทเหล่านี้มี Market Cap ที่มีโอกาสเติบโตสูงกว่าบริษัทในประเทศไทย
“กองทุนรวมต่างประเทศ" จึงทำให้เราสามารถเข้าถึงหุ้นเหล่านี้ได้
4. ทำให้เรามีความรู้และมุมมองกับโลกนี้กว้างขึ้น
การลงทุนจะต้องเริ่มจากการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นภาพรวมเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐานของประเทศต่าง ๆ อุตสาหกรรมเด่นในแต่ละประเทศ ภาพรวมของตัวธุรกิจที่อาจยังไม่เคยมีในประเทศไทย การลงทุนใน
“กองทุนรวมต่างประเทศ" ที่ทำให้เราต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่มขึ้น ทำให้มีหูตากว้างไกล รู้ทันเทรนด์ใหม่ ๆ ในโลก
เปิดวาร์ป 4 ธีมกองทุนรวมต่างประเทศ น่าลงทุนครึ่งปีหลัง 2024 พร้อมกองทุนแนะนำ
หากเรามองในภาพรวมของเศรษฐกิจโลกในช่วงนี้ จะเห็นได้ว่าเริ่มมีการฟื้นตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ บริษัทต่าง ๆ มีผลประกอบการที่มีกำไรมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนทางฝั่งประเทศที่กำลังพัฒนานั้นจะมีแนวโน้มการฟื้นตัวสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ในขณะที่ IMF ได้มีการเปิดเผยรายงานแนวโน้วเศรษฐกิจโลก เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2567 โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ 3.2%
ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยนั้นกำลังก้าวเข้าสู่ขาลง ทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้เศรษฐกิจมีโอกาสเติบโตขึ้น อย่างไรก็ตามในการลงทุนใน
“กองทุนรวมต่างประเทศ" นั้น ก็ยังต้องติดตามเรื่องปัจจัยที่เป็นความเสี่ยง เช่น การเลือกตั้งของสหรัฐฯ ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ความขัดแย้งในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ปัญหาในตะวันออกกลาง ปัญหาจีน-ไต้หวัน และปัญหารัสเซีย-ยูเครน
โดยก่อนที่เราจะลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศนั้น Krungsri The COACH ขอแนะนำให้ทุกคนได้ประเมินความเสี่ยงในการลงทุน เพื่อจัดพอร์ตการลงทุนตามความเสี่ยงที่เรารับได้
ตัวอย่างเช่น
- Aggressive Portfolio (พอร์ตที่รับความเสี่ยงสูง)
เหมาะสำหรับคนที่รับความผันผวนได้สูง และมีระยะเวลาการลงทุนที่ค่อนข้างยาว ลงทุนในกองทุนหุ้น 80% และกองทุนตราสารหนี้ 20%
- Moderate Portfolio (พอร์ตที่รับความเสี่ยงปานกลาง)
เหมาะสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง สามารถรับความผันผวนได้พอสมควร ลงทุนในกองทุนหุ้น 50% และกองทุนตราสารหนี้ 50%
- Conservative Portfolio (พอร์ตที่รับความเสี่ยงต่ำ)
เหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการให้เงินลงทุนเติบโตชนะอัตราเงินเฟ้อได้ ลงทุนในกองทุนหุ้น 20% และกองทุนตราสารหนี้ 80%
ธีมกองทุนรวมต่างประเทศที่น่าสนใจในครึ่งหลังของปี 2024 มีดังนี้
1. ธีมเทคโนโลยี เพราะตลาด AI กำลังมาแรง
การลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI เป็นกลุ่มที่มีปัจจัยบวกและโดดเด่นมาก เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มากขึ้น ทำให้เราสามารถนำ AI มาใช้ได้อย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการนำ AI มาช่วยออกแบบรูปภาพ วิดีโอ วิเคราะห์งานต่าง ๆ หรือทำงานที่มีความซับซ้อนสูงได้
นอกจากนี้ AI ยังถูกนำมาใช้เพื่อใช้ลดต้นทุนต่าง ๆ ในการทำงาน แถมยังได้ประสิทธิภาพที่ดีอีกด้วย ดังนั้นด้วยแรงหนุนของผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าตลาดโดยรวม รวมถึงปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตระยะยาวของธุรกิจนี้ จึงทำให้การลงทุนในปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
กองทุนแนะนำ : KFHTECH-A
- กองทุนรวมต่างประเทศความเสี่ยงระดับ 7
- เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง
- มีนโยบายลงทุนในกองทุน BGF World Technology Fund (Class D2 USD) ซึ่งเป็นกองทุนรวมต่างประเทศ ที่ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น NVIDIA, Microsoft, Apple เป็นต้น
2. ธีมหุ้นคุณภาพดี มีศักยภาพ
กลุ่มที่ 2 คือการลงทุนในหุ้นคุณภาพดี มีศักยภาพ รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี มีความทนทานต่อความผันผวนในทุกสภาวะตลาด อย่างในช่วงตลาดขาขึ้นก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี และในช่วงขาลงราคาหุ้นก็มีความแข็งแกร่ง ทำให้ราคาลงไม่มากในช่วงตลาดขาลง
กองทุนแนะนำ : KFGBRAND แบ่งออกเป็น แบบสะสมมูลค่า KFGBRAND-A และแบบมีนโยบายจ่ายเงินปันผล KFGBRAND-D
- กองทุนรวมต่างประเทศความเสี่ยงระดับ 6
- เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง
- มีโยบายลงทุนใน Morgan Stanley Investment Fund - Global Brands Fund (Class Z) เน้นลงทุนในธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่งหรือเป็นที่รู้จัก เช่น Microsoft, SAP และ Visa
3. ธีมธุรกิจในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ หรือ Emerging Market
มีการคาดการณ์ในปีนี้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ ประเทศที่กำลังพัฒนาจะมีแนวโน้มในการฟื้นตัวได้มากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่มากขึ้น ตัวอย่างประเทศในที่น่าสนใจคือ อินเดีย ที่มีการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจสูง มีจำนวนประชากรวัยทำงานมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ส่งผลต่อการบริโภคที่เพิ่มมากขึ้นในระยะยาว
กองทุนแนะนำ : KFINDIA-A
- กองทุนรวมต่างประเทศความเสี่ยงในระดับ 6
- เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง
- มีนโยบายลงทุนในกองทุน FSSA Indian Subcontinent Fund ที่ลงทุนทั้งในอนุทวีปอินเดีย ซึ่งรวมถึง อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา และบังคลาเทศ ในธุรกิจที่เติบโตตามเศรษฐกิจของประเทศ เช่น ธนาคารและบริการทางการเงิน สินค้าฟุ่มเฟือย สินค้าอุปโภคบริโภคประจำวัน เป็นต้น
4. ตราสารหนี้ที่มีศักยภาพทั่วโลก
ในปัจจุบันนี้มีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากดอกเบี้ยลงก็ย่อมส่งผลต่อราคาของตราสารหนี้ที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกตลาด จึงทำให้กองทุนรวมตราสารหนี้มีความน่าสนใจ เป็นโอกาสที่ดีในการซื้อกองทุนตราสารหนี้สะสม
กองทุนแนะนำ : แบบสะสมมูลค่า
KF-CSINCOM และแบบมีนโยบายขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ปีละ 4 ครั้ง
KF-SINCOME
- กองทุนรวมต่างประเทศความเสี่ยงระดับ 5
- เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงระดับกลาง
- ลงทุนในกองทุน PIMCO GIS Income Fund โดยจะกระจายความเสี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทั่วโลก
ทุกคนคงเห็นแล้วว่า การลงทุนใน
“กองทุนรวมต่างประเทศ” นั้น เป็นโอกาสใหม่ที่น่าสนใจ นอกจากจะทำให้เราสามารถกระจายความเสี่ยงไปภูมิภาคอื่น ๆ นอกเหนือจากการลงทุนในประเทศไทยได้แล้ว ยังเปิดโอกาสให้เราได้ลงทุนในธุรกิจระดับโลก อยู่ในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่หลายธุรกิจยังไม่มีในประเทศไทย และอยู่ในเทรนด์การเติบโต ซึ่งทั้งหมดจะเปิดโอกาสในการรับผลตอบแทนให้เราได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตามการลงทุนใน “กองทุนรวมต่างประเทศ” นั้น มีความเสี่ยงในการลงทุนไม่ต่างจากการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ ทาง Krungsri The COACH อยากให้ทุกคนได้วางแผน และศึกษาข้อมูลการลงทุนให้พร้อม จัดพอร์ตการลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ วางเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจน ก่อนเลือกกองทุนรวมต่างประเทศที่มีนโยบายการลงทุนที่เหมาะสม และสร้างวินัยในการลงทุนตามเป้าหมายจนประสบความสำเร็จ
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
- KFGBRAND-A, KFGBRAND-D, KFINDIA-A ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนจึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
- KFHTECH-A ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน
อ้างอิง