หากพูดถึงคำว่า “
ลงทุนหุ้น” นักลงทุน คงทราบดีอยู่แล้วว่า.. “ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะเรียนรู้ และเข้าใจเรื่องราวของหุ้นได้ง่าย ๆ” เพราะการลงทุนต้องมีทั้งงบการเงินที่ต้องศึกษา กราฟพื้นฐานที่ต้องเรียนรู้ รวมถึงราคาซื้อขายที่เหมาะสมต่อหุ้นนั้น ๆ และที่ขาดไม่ได้เลย คือ เรื่องราวเกี่ยวกับ “
เครื่องหมายท้ายหุ้น” ซึ่งปกติเครื่องหมายท้ายหุ้นจะสำคัญมาก สำหรับนักลงทุนเพราะจะสามารถบอกสิทธิต่าง ๆ ในหุ้นตัวนั้นก่อนเราจะตัดสินใจลงทุนได้ และเพื่อไม่ให้พลาด
เครื่องหมายท้ายหุ้นที่เหล่านักลงทุนควรรู้ เราขอให้ทุกคนได้อ่านบทความนี้จนจบ
เริ่มแรกเรามาทำความรู้จักเหล่านักลงทุนทั้งหมดกันก่อน โดยเราจะแบ่งกลุ่มนักลงทุนออกเป็นหลัก ๆ 3 รูปแบบ
เริ่มจากนักลงทุนสาย VI หรือ Value Investor คือ กลุ่มนักลงทุนที่สนใจเลือกลงทุนในหุ้นคุณค่าหรือที่เรียกว่า Value Stock โดยนักลงทุนกลุ่มนี้เน้นอ่านงบประมาณบริษัทต่าง ๆ และวิเคราะห์นั่นเอง
ต่อมากับ
นักลงทุนสายเทคนิค (Technical) ที่จะเน้นการดูกราฟเป็นหลัก และการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีรายละเอียดซับซ้อนมากขึ้นไปอีก โดยในส่วนของกราฟนั้นจะมีทั้งเรื่องของ แนวรับ แนวต้าน รวมไปถึงจุดตัดขาดทุน
และ
นักลงทุนแบบผสมพื้นฐานและเทคนิค (Hybrid) โดยจะเน้นดูทั้งพื้นฐานธุรกิจและกราฟ โดยกลุ่มนักลงทุนกลุ่มนี้จะวิเคราะห์งบบริษัทและกราฟไปพร้อม ๆ กัน เพื่อช่วยส่งเสริมให้การลงทุนหุ้นของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนสายไหน การมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหุ้นไว้ก็จะช่วยให้การลงทุนของเราเพิ่มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นเราจะขอแนะนำวิธีการลงทุนขั้นพื้นฐานที่นักลงทุนสามารถนำไปปรับใช้วิเคราะห์ ประกอบการ
ลงทุนต่อได้กับ “
4 วิธีวิเคราะห์หุ้นขั้นพื้นฐาน”
เริ่มจากวิธีที่ 1 มองหาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงก่อน
เราอาจจะเริ่มต้นด้วยการมองหาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น โดยเราอาจจะคัดกรองจากงบทางการเงิน ได้แก่ PE ที่หมายถึงความถูกแพงของหุ้น หรือราคาหุ้นหารด้วยราคาหุ้นตามมูลค่าทางบัญชี ที่เรียกว่า Book Value และ ROE หรือที่หมายถึงส่วนตอบแทนของผู้ถือหุ้น และข้อสำคัญที่ขาดไปไม่ได้เลยสำหรับนักลงทุนสาย VI แล้ว เราจะต้องรู้จักกับเครื่องหมายท้ายหุ้น เพราะถ้าหากเราคิดจะถือหุ้นยาว ๆ เครื่องหมายเหล่านี้สำคัญมาก
โดย
เครื่องหมายท้ายหุ้น คือ เครื่องหมายต่าง ๆ ที่อยู่บนกระดานซื้อขาย เพื่อให้ผู้ลงทุนทราบข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นแต่ละตัว ซึ่งหากเราซื้อผ่านโปรแกรม Streaming ก็จะเห็นสัญลักษณ์
เครื่องหมายหลังชื่อหุ้นต่าง ๆ อยู่นั่นเอง อีกทั้ง
เครื่องหมายหลังชื่อหุ้นเหล่านี้จะมีตระกูลที่ต่างกันไปอีกตั้งแต่ A-Z เลยทีเดียว
แต่เราไม่ต้องกังวลไปหากเราเป็นนักลงทุนสาย VI หรือ Hybrid เครื่องหมายท้ายหุ้นที่จำเป็นอย่างมากสำหรับการ
ลงทุน คือเครื่องหมายท้ายชื่อหุ้นจากตระกูล X เพราะเครื่องหมายเหล่านี้จะแสดงการไม่ได้รับสิทธิต่าง ๆ ในหุ้นตัวนั้น เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดในการเลือกลงทุน โดยเฉพาะการซื้อหุ้นไว้เพื่อผลตอบแทนจากเงินปันผลนั้นห้ามพลาดเลยทีเดียว และเราขอยกตัวอย่าง
เครื่องหมายหลังชื่อหุ้นตระกูล X เพียงไม่กี่ตัวให้คุณได้รู้จักขั้นพื้นฐานกันก่อน
และนี่ก็เป็นเพียงเครื่องหมายท้ายหุ้นตระกูล X ที่เรานำมายกตัวอย่างให้ทุกท่านได้เข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สำหรับนักลงทุนท่านใดที่สนใจในเรื่องนี้ เราขอแนะนำให้ฟังข้อมูลเพิ่มเติมกันได้ที่ “
เครื่องหมายหุ้นที่ควรรู้ กับ Krungsri The COACH” คลิกชมกันได้เลย
มาต่อกันที่ วิธีที่ 2. ดูแนวโน้มของเศรษฐกิจ
เมื่อเราสามารถเลือกหุ้นที่ถูกใจมาได้ชุดหนึ่งแล้ว เราอาจจะต้องลองนำหุ้นแต่ละตัวมาดูว่าหุ้นตัวไหนที่มีทิศทางดีตามแนวโน้มของเศรษฐกิจบ้าง เพราะบางครั้งหากเศรษฐกิจไม่ดี กิจการก็ไม่สามารถเติบโตได้เช่นกัน หรือจะยกตัวอย่างกิจการที่อาจจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโดยตรง เช่น กิจการปล่อยเงินกู้ส่วนบุคคล เป็นต้น
หลังจากนั้นเราก็ต้องดูต่อว่ากิจการนี้ค่อนข้างเป็นที่พูดถึงในภาวะเศรษฐกิจตอนนี้หรือเปล่า หรือยกตัวอย่างง่าย ๆ เศรษฐกิจไม่ดี คนกู้เงินมากขึ้น ลองพิจารณาดูว่ากิจการปล่อยเงินกู้ส่วนบุคคลนี้มีโอกาสเติบโตไหม อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงข้อเปรียบเทียบเท่านั้น และทุกการลงทุนมีความเสี่ยง เราควรวิเคราะห์ให้ดีด้วยตัวเอง
เข้าสู่ วิธีที่ 3. ศึกษารายละเอียดแบบเจาะลึก
เมื่อเราได้หุ้นที่ชุดเล็กลงมาแล้ว ก็ต้องเข้าไปศึกษารายละเอียดแบบเจาะลึกกัน โดยหุ้นที่เราคัดมาจนถึงตอนนี้จะต้องเป็นหุ้นที่มีคุณภาพในระดับที่ดี เปรียบเทียบง่าย ๆ ว่าเป็นหุ้นที่กิจการมั่นคง รวมถึงยังมีในเรื่องของราคาหุ้นที่ถูกให้เราเลือกกรองด้วยตัวเลข พร้อมทั้งคุณภาพของกิจการที่เรากรองด้วย โดยเราจะเริ่มอ่านดูว่ากิจการทำอะไรบ้าง โครงสร้างรายได้ของกิจการเป็นอย่างไร กำไรมาจากไหนบ้าง จุดไหนทำกำไร และกำลังเติบโต โดยเน้นการมองเพียงกำไรที่ได้โดยปกติล้วน ๆ และต้องดูกระแสเงินสดของกิจการด้วยว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ มีกระแสเงินสดดีหรือไม่อย่างไร เพราะบางครั้งหากกระแสเงินสดเป็นลบ แต่อยู่ในช่วงที่กำลังขยายกิจการ แบบนี้ก็มีเหตุผลรองรับ แต่บางครั้งกิจการอาจไม่ดีจริง แม้มีกำไรก็จะไม่ยั่งยืน เนื่องจากกระแสเงินสดติดลบตลอดเวลา ก็อาจจะไม่ค่อยเหมาะสมกับเราสักเท่าไหร่
และสุดท้าย วิธีที่ 4. มองการเติบโตของกิจการ
ในวิธีนี้ หากเราได้ซื้อหุ้นถูกและคุณภาพดี ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นจะต้องขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสิ่งที่จะทำให้มูลค่าหุ้นเพิ่มสูงขึ้นได้ก็คือกำไรต่อหุ้นในกิจการนั้น ๆ ต้องขึ้นนั่นเอง ซึ่งนั่นหมายความว่าหากหุ้นตัวนั้นมีการเติบโต ที่เป็นการเติบโตในเชิงของผลประกอบการจริง ๆ ไม่ใช่โตจากข่าว หรือโตจากที่นักลงทุนที่เข้ามาปั่นหุ้น ยกตัวอย่างเช่น กิจการเครื่องมือทางการแพทย์ ยิ่งในช่วงที่เราต้องเผชิญกับโควิดระบาด ความต้องการเครื่องมือแพทย์สูง อีกทั้งการระบาดครั้งนี้ก็ยังอยู่กับเราไปอีกยาวนานพอสมควร ทำให้ความต้องการทางเครื่องมือแพทย์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้กิจการสามารถเติบโตขึ้นได้เรื่อย ๆ นั่นเอง และหุ้นที่เรามองว่าสามารถเติบโตขึ้นได้เรื่อย ๆ เหล่านั้นก็จะเหมาะสมกับเรา และนี่ก็เป็นเพียง “4 วิธีวิเคราะห์หุ้นขั้นพื้นฐาน” ที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ
และบทความที่ทุกท่านได้อ่านไปสักครู่เป็นเพียงแนวทางประกอบการศึกษาเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนเลือกลงทุน “ไม่มีการลงทุนใด ที่ยากเกินไปสำหรับนักลงทุน เพียงแต่เราต้องพยายามไปกับมัน และผลลัพธ์ที่คาดหวังจะเข้ามาหาเราเอง”