EXECUTIVE SUMMARY
ปี 2565 ธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่ปรับดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามภาวะเศรษฐกิจ โดยมีปัจจัยหนุนจาก (1) มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ (2) การทยอยกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ (3) ผู้บริโภคกลุ่มรายได้ระดับกลาง-บน ยังมีศักยภาพการใช้จ่ายอยู่มาก นอกจากนี้ การขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ยังช่วยกระตุ้นยอดขายได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อของประชาชนส่วนใหญ่ถูกกดดันจากค่าครองชีพที่เร่งขึ้น ทำให้ยอดขายเติบโตไม่มากที่ระดับ 3.0-4.0% สำหรับปี 2566-2568 ธุรกิจได้แรงหนุนการเติบโตที่ระดับเฉลี่ย 4.0-5.0% ต่อปี จาก (1) กำลังซื้อมีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3.0-4.0% ต่อปี (2) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเพิ่มขึ้นที่ระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อน COVID-19 ภายในปี 2568 (3) การลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ช่วยเพิ่มการจ้างงานและปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ และ (4) การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มโอกาสสร้างรายได้แก่ธุรกิจ
ทิศทางการดำเนินธุรกิจของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ มีแนวโน้มขยายสาขาหน้าร้านควบคู่กับการพัฒนาช่องทางการตลาดออนไลน์ รวมถึงการพัฒนาโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างความแตกต่างและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ ท่ามกลางการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากผู้ประกอบการที่เร่งขยายฐานลูกค้าให้กว้างและครอบคลุมมากขึ้น เพื่อหนุนการเติบโตของรายได้ในระยะยาว
มุมมองวิจัยกรุงศรี
ปี 2566-2568 ธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่มีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยเฉพาะการทยอยกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง รวมถึงความคืบหน้าของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะทำให้เกิดการขยายตัวของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ตามมา อย่างไรก็ตาม การแข่งขันของธุรกิจมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ท่ามกลางปัญหาหนี้ครัวเรือนทรงตัวระดับสูง โดยการเติบโตของธุรกิจแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน ดังนี้
-
ห้างสรรพสินค้า: คาดว่ายอดขายจะเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่เฉลี่ย 4.0-5.0% ต่อปี จาก 3.5% ปี 2565 ผลจากความกังวล COVID-19 บรรเทาลง และผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาแพลตฟอร์ม Omnichannel และการใช้เทคโนโลยี 5G และ AR เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้บริโภค ผนวกกับมีการขยายการลงทุนสู่ประเทศที่มีศักยภาพทางการตลาด จึงช่วยหนุนการเติบโตของรายได้ต่อเนื่อง
-
ดิสเคาท์สโตร์/ไฮเปอร์มาร์เก็ต/ซูเปอร์เซ็นเตอร์: คาดว่ายอดขายจะเติบโตเฉลี่ย 3.0-4.0% ต่อปี จาก 3.0% ปี 2565 ผลจากผู้ประกอบการขยายสาขาด้วยรูปแบบที่หลากหลายเหมาะสมกับพื้นที่ และกระจายไปในแหล่งชุมชนทั่วประเทศ ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงมีการพัฒนาช่องทางแพลตฟอร์มดิจิทัลต่อเนื่อง และยังจำหน่ายสินค้าในราคาต่ำกว่าร้านค้าประเภทอื่น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจจะเผชิญการแข่งขันรุนแรง เนื่องจากสินค้าที่จำหน่ายส่วนใหญ่ไม่มีความแตกต่างหรือเป็นสินค้าใกล้เคียงกับที่วางขายในร้านค้าปลีกรูปแบบอื่นๆ
-
ซูเปอร์มาร์เก็ต: ยอดขายมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง 6.0-7.0% ต่อปี จาก 6.0% ปี 2565 เป็นการเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับร้านค้าปลีกประเภทอื่น เนื่องจากมีกลยุทธ์การตลาดที่สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าระดับกลางบนถึงบนที่มีกำลังซื้อสูง มีจุดแข็งด้านคุณภาพของสินค้า และมีกลยุทธ์ต่างๆ อาทิ (1) การปรับรูปแบบร้านค้าเป็นไลฟ์สไตล์พรีเมี่ยมซูเปอร์มาร์เก็ตที่เน้นสินค้านำเข้าราคาแพง (2) การขยายสาขาในจังหวัดที่มีกำลังซื้อสูง และ (3) การพัฒนารูปแบบการขายผ่านออนไลน์ต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภค ซูเปอร์มาร์เก็ตยังมีความได้เปรียบจากขนาด และมีการขยายสาขาในแหล่งชุมชนใหญ่ จึงมีผลประกอบการดีต่อเนื่อง
-
ร้านสะดวกซื้อ/มินิมาร์ท: คาดยอดขายจะเติบโตเฉลี่ย 4.5-5.5% ต่อปี จาก 4.5% ปี 2565 ผลจากการมีสาขาจำนวนมากกระจายไปในทุกพื้นที่ ทั้งยังมีการเพิ่มสินค้าประเภทอาหารพร้อมทานและเพิ่มบริการการขายผ่านออนไลน์ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การแข่งขันของธุรกิจมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จากการเปิดสาขาของคู่แข่งในพื้นที่เดียวกันและคู่แข่งทางอ้อม โดยเฉพาะไฮเปอร์มาร์เก็ตที่เข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดในรูปแบบร้านค้าขนาดเล็ก รวมถึงมีการขยายเครือข่ายของผู้ประกอบการรายใหญ่ผ่านร้านค้าโชห่วย ส่งผลให้ยอดขายต่อสาขาของร้านสะดวกซื้ออาจไม่สูงเช่นในอดีต โดยร้านสะดวกซื้อที่เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ยังสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง ขณะที่ร้านสะดวกซื้อทั่วไปจะมีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจมากกว่า
![](/getmedia/d9702803-9cda-4e4e-ab49-a1c993be6e0a/io-modern-trade-2022-t1.PNG.aspx)
ข้อมูลพื้นฐาน
ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมค้าส่งค้าปลีกซึ่งมีมูลค่า 2.7 ล้านล้านบาทในปี 2564 เพิ่มขึ้น 1.9% จากปี 2563 คิดเป็นสัดส่วน 16.7% ของ GDP สูงเป็นอันดับสองรองจากภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่มีสัดส่วน 27.0% ผู้ประกอบการมักเป็นนายทุนรายใหญ่ที่มีเครือข่ายสาขาจำนวนมาก และเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ จึงมีอํานาจต่อรองเหนือผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายสินค้า[1] มีการบริหารจัดการร้านค้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งรวมถึงระบบขนส่งและกระจายสินค้าที่ทันสมัย ตลอดจนการเพิ่มช่องทางการค้าออนไลน์และการนำเทคโนโลยีด้านต่างๆ มาใช้ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการตลาด
ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ในไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และเมืองหลักที่มีความเป็นสังคมเมืองสูง โดยมีปัจจัยหนุนจาก (1) นโยบายรัฐเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการต่างชาติซึ่งมีเทคโนโลยีการบริหารจัดการสมัยใหม่เข้ามาลงทุนธุรกิจค้าปลีกได้[2] (2) ลักษณะร้านค้าตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบาย อาทิ ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าหลายประเภทในที่แห่งเดียวตั้งแต่อาหาร ของใช้ส่วนบุคคล และของใช้ในครัวเรือน (ภาพที่ 2) อีกทั้งราคาสินค้ามักต่ำกว่าร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional trade) และ (3) การลงทุนขยายสาขาต่อเนื่องเพื่อขยายฐานลูกค้า
![](/getmedia/7c2d2b86-857b-4083-807b-f4d7d58b29f9/io-modern-trade-2022-f1.PNG.aspx)
![](/getmedia/dc13ad68-1733-48b6-9ccb-9be0c1bb663d/io-modern-trade-2022-f2.PNG.aspx)
ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ส่วนใหญ่เป็นทุนไทยรายใหญ่ มีฐานะกิจการมั่นคง มีศักยภาพและความสามารถในการสร้างรายได้ ซึ่งเป็นผลจากความได้เปรียบด้านขนาด เงินทุน เครือข่ายสาขา และการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องหลายรูปแบบ อาทิ กลุ่ม Central กลุ่ม Charoen Pokphand (CP) กลุ่ม Thai Charoen Corporation (TCC) กลุ่ม The Mall และกลุ่ม Saha Pathanapibul (ตารางที่ 2)
![](/getmedia/6a781fff-6a6f-445c-a559-8373be110308/io-modern-trade-2022-t2.PNG.aspx)
![](/getmedia/84891f6a-3ee6-40dc-9fb5-1ef6357506e5/io-modern-trade-2022-b1.png.aspx)
![](/getmedia/5ff9823d-21ed-4a69-bb0e-5e088d05f522/io-modern-trade-2022-t3.PNG.aspx)
การแข่งขันของธุรกิจค่อนข้างรุนแรง จากสินค้าที่คล้ายคลึงกัน จำนวนสาขาที่มีมาก และยังต้องแข่งขันกับธุรกิจการค้าออนไลน์ที่เติบโตต่อเนื่องจากการเข้าถึงสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตได้สะดวก โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 สะท้อนจากปี 2564 ยอดขายสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากระดับปี 2562 (ภาพที่ 3) อย่างไรก็ตาม การซื้อขายสินค้าออนไลน์ยังมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าค้าปลีกทั้งหมด เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญกับการซื้อขายหน้าร้าน (ออฟไลน์) (ที่มา: สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์: ETDA) จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการในการเพิ่มสัดส่วนยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น
![](/getmedia/2fc23691-145f-478f-9864-11ba4bcf3101/io-modern-trade-2022-f3.PNG.aspx)
การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ขยายสาขาอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงปี 2563-2564 โดยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล (BMR)[6] มีพื้นที่ค้าปลีกสะสมเพิ่มขึ้น 1.3% ในปี 2564 อยู่ที่ 7.93 ล้านตารางเมตร (ภาพที่ 4) โดยพื้นที่ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า (สัดส่วน 61.9% และ 3.3% ของพื้นที่ค้าปลีกใน BMR) ทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2563 ส่วนคอมมูนิตี้มอลล์ (สัดส่วน 14.0%) เพิ่มขึ้นถึง 8.3% (เทียบกับ 1.1% ปี 2563) ซูเปอร์สโตร์ (สัดส่วน 14.5%) เพิ่มขึ้น 1.6% และพื้นที่ค้าปลีกสนับสนุน (สัดส่วน 6.2%) เพิ่มขึ้น 0.3% ส่วนในต่างจังหวัด ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายใหญ่ เช่น 7-Eleven, Lotus’s และ Big C ยังคงเดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่อง ทั้งยังขยายเครือข่ายโดยเป็นพันธมิตรกับร้านค้าโชห่วย ซึ่งกระจายอยู่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ หากพิจารณาด้านจำนวนสาขา พบว่า ณ สิ้นปี 2564 ร้านสะดวกซื้อมีสัดส่วนจำนวนสาขาสูงสุดที่ 90.3% ของสาขาร้านค้าปลีกสมัยใหม่ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 89.1% ปี 2563 รองลงมา คือ ซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้า ตามลำดับ (ภาพที่ 5)
![](/getmedia/103a8691-fc4b-4596-9549-c80733acd734/io-modern-trade-2022-f4.PNG.aspx)
![](/getmedia/12c834c9-77a8-4113-9da7-bb2aa4916e3e/io-modern-trade-2022-f5.PNG.aspx)
สถานการณ์ที่ผ่านมา
ธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่ซบเซาจากการแพร่ระบาดหลายระลอกของ COVID-19 ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2563 ก่อนกระเตื้องขึ้นในช่วงปลายปี 2564 ซึ่งภาครัฐทยอยผ่อนคลายความเข้มงวดของมาตรการควบคุมโรค (เช่น ลดระยะเวลาเคอร์ฟิว และขยายเวลาเปิดดำเนินการของร้านค้า) รวมถึงการทยอยผ่อนคลายเกณฑ์เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงเทศกาลปลายปี ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมขยับดีขึ้น
ปี 2565 ยอดขายของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ปรับดีขึ้นต่อเนื่อง โดยจะกลับมาเติบโตในอัตรา 3.0-4.0% เทียบกับที่หดตัว -9.0% ในปี 2564 อานิสงส์จาก
-
การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมกลับมาเกือบเป็นปกติ หลังทางการประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคเฝ้าระวังตั้งแต่ 1 ตุลาคม
-
การทยอยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่ต้นปี และยกเลิกระบบ Test & Go รวมถึงเริ่มต้นเปิดประเทศเต็มรูปแบบสำหรับผู้เดินทางที่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2565 ทั้งยังยกเลิกการลงทะเบียน Thailand pass (1 กรกฎาคม 2565) ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยแล้ว 5.7 ล้านคน (มกราคม-ตุลาคม) และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีจะอยู่ที่ 10.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นมากจาก 4.3 แสนคนในปีก่อน ช่วยหนุนธุรกิจค้าปลีกในทำเลท่องเที่ยวหรือมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ
-
รายได้ภาคเกษตรปรับดีขึ้นต่อเนื่อง (ช่วง 9 เดือนแรกของปีเพิ่มขึ้น 14.4% YoY) หนุนให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นตามมา
-
มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ อาทิ คนละครึ่งเฟส 4-5 (มีนาคม-เมษายน และกันยายน-ตุลาคม) ช้อปดีมีคืน (ตั้งแต่ 1 มกราคม-15 กุมภาพันธ์) และเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 (กรกฎาคม-ตุลาคม) และ
-
การเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจ E-commerce สะท้อนจากดัชนีการสั่งสินค้าทางไปรษณีย์ โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต ช่วง 8 เดือนแรกเพิ่มขึ้น 45.9% YoY (ภาพที่ 6) ขณะที่ยอดสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้ประกอบการ เช่น Lotus’s เติบโตมากกว่า 400% จากปีก่อนหน้า และสอดคล้องกับ Global Digital Stat 2021 (โดย We Are Social และ Hootsuit) รายงานอัตราการซื้อสินค้าออนไลน์ของคนไทยสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยสินค้าที่ผู้บริโภคเลือกซื้อมากที่สุด ได้แก่ สินค้ากลุ่มสุขภาพ กลุ่มแฟชั่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าสำหรับทารกและเด็ก และสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง ทั้งนี้ Priceza คาดว่าตลาด E-commerce ปี 2565 มีแนวโน้มเติบโต 30% จากปี 2564
![](/getmedia/e0084f7c-78b2-406e-9b7d-2430f808509a/io-modern-trade-2022-f6.PNG.aspx)
แม้จะมีสัญญาณการฟื้นตัว แต่ธุรกิจค้าปลีกยังอยู่ภายใต้ปัจจัยกดดัน จากค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ ลดทอนกำลังซื้อของผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มรายได้กลาง-ล่างที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ผนวกกับดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มเพิ่มภาระหนี้ครัวเรือน (ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นปี 2565 จะอยู่ที่ 89.3% ของ GDP สูงสุดในรอบ 16 ปีจาก 88.2% ณ ไตรมาส 2) สำหรับกำลังซื้อกลุ่มรายได้ระดับปานกลาง-บนเริ่มชะลอการใช้จ่ายลง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือนในเดือนพฤษภาคม (ภาพที่ 7) และสอดคล้องกับผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกที่ผันผวนในทิศทางชะลอลง (ภาพที่ 8) และพบว่าผู้บริโภคมียอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จ (Spending per bill) เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้น ขณะที่ความถี่ในการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย และเน้นการซื้อเฉพาะสินค้าจำเป็นเท่านั้น (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมผู้ค้าปลีก)
![](/getmedia/0e24e89c-6e61-4fbe-9449-1c6d02c254f3/io-modern-trade-2022-f7.PNG.aspx)
![](/getmedia/785cdf56-0f9e-42f4-bb04-d2c39e0870ce/io-modern-trade-2022-f8.PNG.aspx)
![](/getmedia/a5fe5e31-f54f-42ff-9a0c-803d012135ff/io-modern-trade-2022-t4.PNG.aspx)
![](/getmedia/7f340d03-7ae6-4271-bfc4-f263a0a470b7/io-modern-trade-2022-t5.PNG.aspx)
ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่มีการขยายสาขาต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มร้านสะดวกซื้อที่เปิดสาขาตามพื้นที่ชุมชน ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ และซูเปอร์สโตร์ที่ขยายพื้นที่ค้าปลีกหรือเปิดใหม่ (ณ ไตรมาส 2/2565 พื้นที่คอมมูนิตี้มอลล์ +2.0% YoY และซูเปอร์สโตร์ +3.0% YoY) นอกจากนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังปรับรูปแบบร้านค้าและสินค้า เช่น การปรับรูปแบบบรรจุภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคด้านสุขอนามัยมากขึ้น และพัฒนาช่องทางจำหน่ายสินค้าผ่าน E-commerce รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลในการสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น ได้แก่ (1) การใช้ Digital platform omnichannel[7] เช่น การเปิดร้านค้าออนไลน์ผ่าน Webstore การพัฒนา Mobile application การบริการจัดส่งสินค้าออนไลน์ (Quick commerce) และการร่วมมือกับธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์ (Online marketplace) อื่น เช่น Lazada Shopee และ JD Central (2) การทำการตลาด Online to Offline[8] (O2O) เช่น การให้บริการ Personal shopper (บริการส่วนตัวในการเลือกซื้อสินค้า) Call & Shop และ Chat & Shop การขายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social commerce) เช่น Facebook, Line และ e-Ordering เป็นต้น และ (3) การรับชำระค่าสินค้าผ่านช่องทางชำระเงินดิจิทัล เช่น Alipay (Online banking), WeChat Pay และ Dolfin รวมถึงผ่านระบบออนไลน์ของธนาคารในประเทศ ทั้งนี้ การจำหน่ายสินค้าออนไลน์ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มจุดจำหน่ายสินค้าและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น
สถานการณ์ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในแต่ละประเภท สรุปได้ดังนี้
![](/getmedia/cd791ff5-a5d4-4dec-ab77-0b7cd7494b50/io-modern-trade-2022-t6.PNG.aspx)
![](/getmedia/2039c4b9-436b-4606-996a-c3f7519513ae/io-modern-trade-2022-f9.PNG.aspx)
![](/getmedia/118cc9d2-239a-434a-b876-72fcb2327dac/io-modern-trade-2022-t7.PNG.aspx)
![](/getmedia/d83b5d9e-34e3-4afe-bfc6-f58dad6c90f5/io-modern-trade-2022-f10.PNG.aspx)
![](/getmedia/c3f95814-fe7e-455b-b111-e499abe84ccc/io-modern-trade-2022-t8.PNG.aspx)
![](/getmedia/223a0bb0-f92a-4196-ae7e-d5b5b5a29f2d/io-modern-trade-2022-f11.PNG.aspx)
![](/getmedia/79749aa7-8ba6-4247-8711-79e4996e406b/io-modern-trade-2022-t9.PNG.aspx)
![](/getmedia/f140e99d-6ff4-4960-bec1-749f304d5fdb/io-modern-trade-2022-f12.PNG.aspx)
แนวโน้มธุรกิจ
ปี 2566-2568 ธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องเฉลี่ย 4.0-5.0% ต่อปี (ภาพที่ 13) โดยมีปัจจัยหนุนจาก (1) กำลังซื้อมีแนวโน้มปรับดีขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเติบโตในอัตรา 3.0-4.0% ต่อปี (ภาพที่ 14) (2) การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและใกล้เคียงกับช่วงก่อนวิกฤต COVID-19 (นักท่องเที่ยวไทยจะอยู่ที่ 185 ล้านทริป (ใกล้เคียงกับปี 2562) ภายในปี 2567 ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น 42 ล้านคน ในปี 2568) (ภาพที่ 15) หนุนรายได้ร้านค้าปลีกในทำเลแหล่งท่องเที่ยว (3) การลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐที่มีแผนดำเนินการต่อเนื่อง ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ มีการจ้างงานและเพิ่มรายได้ และจะหนุนให้มีการขยายตัวของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ตามมา (4) การเติบโตต่อเนื่องของภาคการค้าออนไลน์ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 13.6% ต่อปี (ที่มา: e-Conomy SEA 2021) (5) มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ (มีผล 1 ตุลาคม 2565) ช่วยหนุนการบริโภคในประเทศ การออก Visa อนุญาตให้พำนักในประเทศไทยเป็นกรณีพิเศษแก่ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพการใช้จ่ายสูง 4 กลุ่ม[9] จะช่วยเพิ่มการจับจ่ายใช้สอย และ (6) การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) ซึ่ง IMF คาดว่าจะอยู่ในช่วง 3.5-6.5% จะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการค้าปลีกในจังหวัดชายแดนและจังหวัดหลักในภูมิภาค
![](/getmedia/3c51359a-f9b2-419c-8183-d60485f6437b/io-modern-trade-2022-f13.PNG.aspx)
![](/getmedia/efd0c179-83a1-4255-bead-178b344f62ac/io-modern-trade-2022-f14.PNG.aspx)
![](/getmedia/2cd3f6d9-82f2-4398-ad87-666ceb3ac823/io-modern-trade-2022-f15.PNG.aspx)
แนวโน้มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่แต่ละประเภทสรุปได้ดังนี้
-
ห้างสรรพสินค้า: คาดว่ายอดขายจะเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่เฉลี่ย 4.0-5.0% ต่อปี จาก 3.5% ปี 2565 ผลจากความกังวล COVID-19 บรรเทาลง และผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาแพลตฟอร์ม Omnichannel และการใช้เทคโนโลยี 5G และ AR เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้บริโภค ผนวกกับมีการขยายการลงทุนสู่ประเทศที่มีศักยภาพทางการตลาด จึงช่วยหนุนการเติบโตของรายได้ต่อเนื่อง
-
ดิสเคาท์สโตร์/ไฮเปอร์มาร์เก็ต/ซูเปอร์เซ็นเตอร์: คาดว่ายอดขายจะเติบโตเฉลี่ย 3.0-4.0% ต่อปี จาก 3.0% ปี 2565 ผลจากผู้ประกอบการขยายสาขาด้วยรูปแบบที่หลากหลายเหมาะสมกับพื้นที่ และกระจายไปในแหล่งชุมชนทั่วประเทศ ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงมีการพัฒนาช่องทางแพลตฟอร์มดิจิทัลต่อเนื่อง และยังจำหน่ายสินค้าในราคาต่ำกว่าร้านค้าประเภทอื่น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจจะเผชิญการแข่งขันรุนแรง เนื่องจากสินค้าที่จำหน่ายส่วนใหญ่ไม่มีความแตกต่างหรือเป็นสินค้าใกล้เคียงกับที่วางขายในร้านค้าปลีก Format อื่น
-
ซูเปอร์มาร์เก็ต: ยอดขายมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง 6.0-7.0% ต่อปี จาก 6.0% ปี 2565 เป็นการเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับร้านค้าปลีกประเภทอื่น เนื่องจากมีกลยุทธ์การตลาดที่สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าระดับกลางบนถึงบนที่มีกำลังซื้อสูง มีจุดแข็งด้านคุณภาพของสินค้า และมีกลยุทธ์ต่างๆ อาทิ (1) การปรับรูปแบบร้านค้าเป็นไลฟ์สไตล์พรีเมี่ยมซูเปอร์มาร์เก็ตที่เน้นสินค้านำเข้าราคาแพง (2) การขยายสาขาในจังหวัดที่มีกำลังซื้อสูง และ (3) การพัฒนารูปแบบการขายผ่านออนไลน์ต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภค ซูเปอร์มาร์เก็ตยังมีความได้เปรียบจากขนาด และมีการขยายสาขาในแหล่งชุมชนใหญ่ จึงมีผลประกอบการดีต่อเนื่อง
-
ร้านสะดวกซื้อ/มินิมาร์ท: คาดยอดขายจะเติบโตเฉลี่ย 4.5-5.5% ต่อปี จาก 4.5% ปี 2565 ผลจากการมีสาขาจำนวนมากกระจายไปในทุกพื้นที่ ทั้งยังมีการเพิ่มสินค้าประเภทอาหารพร้อมทานและเพิ่มบริการการขายผ่านออนไลน์ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การแข่งขันของธุรกิจมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จากการเปิดสาขาของคู่แข่งในพื้นที่เดียวกันและคู่แข่งทางอ้อม โดยเฉพาะไฮเปอร์มาร์เก็ตที่เข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดในรูปแบบร้านค้าขนาดเล็ก รวมถึงมีการขยายเครือข่ายของผู้ประกอบการรายใหญ่ผ่านร้านค้าโชห่วย ส่งผลให้ยอดขายต่อสาขาของร้านสะดวกซื้ออาจไม่สูงเช่นในอดีต โดยร้านสะดวกซื้อที่เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ยังสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง ขณะที่ร้านสะดวกซื้อทั่วไปจะมีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจมากกว่า
ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่มีแนวโน้มขยายสาขาต่อเนื่องควบคู่การพัฒนาช่องทางการขายออนไลน์ รวมถึงการพัฒนาโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่และการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะต่างๆ มาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น หลังจากที่ผ่านมาการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้การขยายสาขาล่าช้าออกไป ขณะที่ผู้ประกอบการต้องเร่งสร้างการรับรู้ด้านแอปพลิเคชันเพื่อกระตุ้นยอดขาย ท่ามกลางรูปแบบการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป สำหรับรูปแบบการขยายสาขาจะมีโมเดลที่หลากหลาย อาทิ
-
การเปิดร้านค้าโมเดลขนาดเล็กลง/ใหญ่ขึ้นจากโมเดลปกติ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการหาทำเล และทำให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย เพื่อรุกตลาดที่ยังไม่ครอบคลุม
-
การเปิดร้านค้ารูปแบบใหม่ อาทิ Lifestyle shopping mall ที่มีขนาดไม่ใหญ่มากในอำเภอขนาดใหญ่หรือจังหวัดขนาดเล็ก หรือการเปิดร้านค้าปลีกไซส์เล็กใกล้บ้าน ตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่ลดความถี่ในการไปซื้อสินค้าที่ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ และหันมาซื้อสินค้าจากร้านค้าใกล้บ้าน
-
การพัฒนาช่องทางการขายผ่านแพลตฟอร์มโชเชียลมีเดียและการใช้ช่องทางการขายออนไลน์ตรงถึงผู้บริโภค (Direct to Consumer: D2C)[10] เพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์แบบใหม่ ขณะที่รูปแบบการจัดส่งสินค้าแบบ Quick commerce จะเป็นที่นิยมมากขึ้น เพื่อสนองความต้องการซื้อสินค้าแบบ On demand ซึ่งเป็นการซื้อแบบตะกร้าขนาดเล็ก และจัดส่งภายในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง
-
ผู้ประกอบการดิสเคาท์สโตร์/ไฮเปอร์มาร์เก็ต/ซูเปอร์เซ็นเตอร์ มีแนวโน้มขยายเครือข่ายผ่านร้านค้าปลีกดั้งเดิมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเพิ่มช่องทางกระจายสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ในระดับตำบลและหมู่บ้านในอีกทางหนึ่ง ผู้ประกอบการจะมีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์มากขึ้นตามมา จึงถือเป็นช่องทางใหม่ในการสร้างรายได้ในระยะยาว
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อทำตลาดแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น อาทิ การใช้ AI ช่วยออกแบบส่วนลดและสิทธิพิเศษที่เหมาะสมกับความต้องการและพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้าแต่ละราย (Personalization) และ
-
การขยายสาขาในประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจที่เติบโตดีและมีประชากรจำนวนมาก จะช่วยขยายฐานรายได้ในระยะยาวให้แก่ธุรกิจ อาทิ กลุ่ม Central มีแผนขยายการลงทุนธุรกิจค้าปลีกในเวียดนามมูลค่า 3.0 หมื่นล้านบาทภายในปี 2569
ประเด็นท้าทายของธุรกิจในระยะต่อไป ได้แก่ (1) การแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรง จากจำนวนร้านค้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งจากผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจประเภทเดียวกัน และข้าม Segment รวมถึงคู่แข่งรายใหม่จากในและต่างประเทศที่เห็นช่องทางการเติบโตของภาคค้าปลีกไทย (2) คู่แข่งจากร้านค้าออนไลน์ที่มีจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงคู่แข่งในตลาด C2C[11] (Consumer to Consumer) ทั้งคนไทยและต่างชาติบน E-marketplace (เช่น Lazada, Alibaba.com, Shopee, JD.com, ebay และ amazon.com เป็นต้น) ทั้งนี้ ข้อมูลจาก e-Conomy SEA 2021 ประเมินมูลค่าตลาด E-commerce ของไทยปี 2568 จะอยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 66.7% จากปี 2564 (ภาพที่ 16) ทำให้ผู้ประกอบการต้องมีการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานของ E-commerce ให้มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจรวมถึงการเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการด้านขนส่ง เพื่อให้การซื้อขายออนไลน์เป็นไปอย่างราบรื่น และ (3) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เช่น (i) การพัฒนาแพลตฟอร์ม Omnichannel บนเทคโนโลยี 5G (ii) การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อประมวลความต้องการและพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้า รวมถึงการเช็คสินค้า/สต็อกสินค้า เป็นต้น และ (iii) การใช้เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) เพื่อสร้างประสบการณ์ในการเลือกซื้อให้มีความเสมือนจริงมากที่สุด
![](/getmedia/d14d7340-2568-4c9f-a902-57e736503b3b/io-modern-trade-2022-f16.PNG.aspx)
![](/getmedia/385d06d9-dc6a-42b3-801f-13659bb46608/io-modern-trade-2022-b2.PNG.aspx)
![](/getmedia/2a6e8ec5-67b9-4f07-9a12-25dba1d9d664/io-modern-trade-2022-b3.PNG.aspx)
![](/getmedia/17ba39c4-5a1f-4b66-8418-2e223d1dd00c/io-modern-trade-2022-b4.PNG.aspx)
[1] ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่รายใหญ่สามารถใช้กลยุทธ์ขายสินค้าได้ในราคาต่ำกว่าร้านค้าปลีกดั้งเดิม เนื่องจากมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขและเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายที่ต้องการวางสินค้าจำหน่ายในร้านค้า อาทิ 1) ค่าแรกเข้าเมื่อวางสินค้าครั้งแรก 2) ค่าสนับสนุนกิจกรรมการตลาดและบริการ อาทิ ค่าเช่าที่วางของ ค่าหิ้งวาง ค่าติดป้าย ค่าธรรมเนียมพิเศษจากยอดขายรายเดือนกรณีขายได้ตามเป้า ค่าจัดส่งและกระจายสินค้าจากศูนย์กระจายสินค้าไปสาขาของห้าง 3) ค่าใช้จ่ายการส่งเสริมการขายที่พบในแผ่นพับ ใบปลิว ฯลฯ รวมทั้งขอสินค้าแถมและส่วนลดเพิ่มตามโอกาส เช่น ครบรอบปี เปิดสาขาใหม่ ปรับโฉมกิจการ เทศกาล 4) เครดิตชำระค่าสินค้า 90-120 วัน และ 5) มีสัญญาบอกเลิกธุรกิจฝ่ายเดียว
[2] พรบ.คนต่างด้าว พ.ศ.2542 ระบุว่าคนต่างด้าวสามารถประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง (ซึ่งถือเป็นอาชีพสงวนในบัญชีแนบท้าย 3) ได้หากลงทุนตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป โดยต้องยื่นขอใบอนุญาตจากคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
[3] คณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จัดให้ร้านค้าส่งขนาดใหญ่บริการตนเอง (Cash & Carry) ได้แก่ Makro เป็นประเภทหนึ่งในธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง แต่ในบทความฉบับนี้จะศึกษาเฉพาะธุรกิจค้าปลีก
[4] ศูนย์การค้า (Shopping center/Shopping mall) เป็นอาคารที่มีการขายสินค้าและบริการแบบขายปลีกอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ผลิตภัณฑ์ที่ขายขึ้นกับผู้เช่าพื้นที่หรือทำเลที่ศูนย์การค้าได้จัดสรรไว้ให้ มีการทำสัญญาเพื่อเก็บค่าเช่าพื้นที่ตามระยะเวลาที่กำหนด
[5] ปี 2564 กลุ่มบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ซื้อกิจการ Tesco Lotus และ Rebrand ร้านค้าทุก Format เป็น Lotus’s ยกเว้น Tesco Lotus Express เป็น Lotus’s go fresh
[6] ฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
[7] Omnichannel หมายถึง รูปแบบการตลาดและการขายที่เป็นออนไลน์ (เว็บไซต์, Social Media, E-commerce) และออฟไลน์ (หน้าร้านจริง) โดยข้อมูลของลูกค้าจากแต่ละช่องทางจะถูกรวมเก็บไว้ด้วยกันที่เดียวเพื่อให้ธุรกิจเห็นภาพรวมการซื้อ-ขาย เข้าใจลูกค้า สามารถอำนวยความสะดวกในการซื้อสินค้า/บริการและให้ความช่วยเหลือได้ครบวงจร
[8] O2O Marketing คือโมเดลธุรกิจแบบ Online to Offline เป็นการผสมผสานข้อดีของการขายออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อยกระดับการให้บริการ เพิ่มยอดขายและฐานลูกค้า
[9] ได้แก่ 1) ผู้มีความมั่งคั่งสูง (Wealthy global citizen) 2) ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (Wealthy pensioner) 3) ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย (Work-from-Thailand professional) และ 4) ผู้ที่มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ (Highly skilled professional)
[10] D2C หรือ Direct to Consumer คือ ช่องทางการขายออนไลน์ตรงถึงผู้บริโภค ทั้งผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน โดยไม่ผ่านคนกลาง
[11] C2C หรือ Consumer to Consumer คือ โมเดลธุรกิจ E-commerce ที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถซื้อขายสินค้ากันได้โดยตรง