แนวโน้มธุรกิจ/อุตสาหกรรม ปี 2562-2564: อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์

เครื่องมือแพทย์

เครื่องมือแพทย์

แนวโน้มธุรกิจ/อุตสาหกรรม ปี 2562-2564: อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์

10 พฤษภาคม 2562
อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือแพทย์ของไทยในช่วงปี 2562-2564 มีแนวโน้มเติบโตในอัตราเฉลี่ย 8.0-10.0% ต่อปี ปัจจัยหนุนจาก 1) นโยบายรัฐตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็น  Medical Hub และศูนย์กลางส่งออกเครื่องมือแพทย์ในภูมิภาคภายในปี 2563 2) การเจ็บป่วยที่เพิ่มขึ้นของคนไทย (โดยเฉพาะจากโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน) และจำนวนผู้สูงอายุที่มีมากขึ้น ทำให้มีความต้องการใช้เครื่องมือแพทย์ตรวจวินิจฉัยโรคที่ทันสมัยและใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้น 3) ผู้ป่วยต่างชาติมีแนวโน้มเข้ามาใช้บริการในไทยเพิ่มขึ้น จากความเชื่อมั่นในมาตรฐานการรักษาและการเติบโตของกลุ่ม Expatriate และ Medical Tourists และ 4) แผนขยายการลงทุนของธุรกิจโรงพยาบาลทั้งการสร้างใหม่และการขยายพื้นที่ให้บริการ จะทำให้ความต้องการอุปกรณ์ทางการแพทย์เพิ่มขึ้น

การเข้ามาลงทุนของบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนของ BOI รวมถึงมาตรการยกเว้นอากรขาเข้าชิ้นส่วน/วัตถุดิบเพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนา จะเป็นปัจจัยหนุนให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในไทยมากขึ้น จึงอาจเพิ่มแรงกดดันด้านการแข่งขันโดยเฉพาะ กลุ่ม SME ซึ่งเป็นผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในธุรกิจนี้
 

ข้อมูลพื้นฐาน


อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ครอบคลุมทั้งเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์[1] เป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง และมีการเติบโตได้แม้สถานการณ์เศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ซึ่งปัจจุบันอัตราผู้ป่วยและผู้สูงอายุมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นทำให้มีความต้องการเครื่องมือทางการแพทย์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
 

เครื่องมือแพทย์ จำแนกตามลักษณะการใช้งานได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

  1. วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ (Single-use device) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อการรักษาพยาบาลทั่วไปที่ใช้เทคโนโลยีไม่สูงมาก ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ครั้งเดียวหรือใช้แล้วทิ้ง ได้แก่ หลอดฉีดยา เข็มฉีดยา สายยาง หลอดสวน แกนสอด ถุงมือยาง อุปกรณ์และเครื่องใช้อื่นๆ ทางทันตกรรม อุปกรณ์และเครื่องใช้อื่นๆ ที่เกี่ยวกับนัยน์ตา เป็นต้น
  2. ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ (Durable medical device) เป็นเครื่องมือทางการ แพทย์ที่มีลักษณะคงทนถาวร มีอายุการใช้งานไม่ต่ำกว่า 1 ปี ตัวอย่างผลิตภัณฑ์เช่น หีบและชุดปฐมพยาบาล รถเข็นผู้ป่วย เตียงคนไข้ อุปกรณ์และเครื่องใช้ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศัลยกรรม ทันตกรรม เครื่องวินิจฉัยโรคด้วยไฟฟ้า และเครื่องเอกซเรย์ เป็นต้น
  3. ชุดน้ำยาและชุดวินิจฉัยโรค (Reagent and test kit) เป็นเครื่องมืออุปกรณ์ในการวินิจฉัยโรค ผลิตภัณฑ์น้ำยา เพื่อใช้เตรียมหรือเก็บตัวอย่างจากร่างกาย อาทิ น้ำยาทดสอบกรุ๊ปเลือด การตั้งครรภ์ ชุดน้ำยาล้างไต ชุดตรวจการติดเชื้อ HIV
อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์มีมูลค่าการค้าในตลาดโลก (ผลรวมการส่งออกและนำเข้า) สูงกว่า 70 ล้านล้านบาท (ภาพที่ 1) โดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นครุภัณฑ์ทางการแพทย์คิดเป็นสัดส่วน 76% ของมูลค่าการค้าผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ทั้งหมดของโลก (ข้อมูลปี 2561) เพิ่มขึ้นจาก 73% ในปี 2552 (ภาพที่ 2) รองลงมาคือ วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ (สัดส่วน 20%) และน้ำยาและชุดวินิจฉัยโรค (สัดส่วน 4%) ประเทศที่มีการส่งออกเครื่องมือแพทย์มากที่สุดคือ เยอรมนี คิดเป็นสัดส่วน 18% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องมือแพทย์ทั้งหมดของโลก  (ภาพที่ 3) รองลงมา ได้แก่ สหรัฐฯ (สัดส่วน 10%), ญี่ปุ่น (สัดส่วน 8%) และจีน (สัดส่วน 7%) ส่วนประเทศที่นำเข้าเครื่องมือแพทย์มากที่สุดคือ สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 23% ของมูลค่าการนำเข้าเครื่องมือแพทย์ทั้งหมดของโลก รองลงมา ได้แก่ เยอรมนี (สัดส่วน 8%), จีน (สัดส่วน 7%) และอังกฤษ (สัดส่วน 5%) ส่วนไทยเป็นประเทศที่ส่งออกและนำเข้าเครื่องมือแพทย์อยู่ในลำดับที่ 18 และ 33 ของโลก
 





 
ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์รายใหญ่ของโลกที่มียอดขายสูงจะเป็นบริษัทข้ามชาติ (ตารางที่ 1) โดยสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีรายได้สูงสุดจากการจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ จากการมีฐานการผลิตกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงที่สำคัญได้แก่ เครื่องวินิจฉัยโรคด้วยไฟฟ้า (Electro-diagnostic devices) เครื่องมือแพทย์ที่ใช้ในการศัลยกรรมกระดูก (Orthopedic and fracture devices) เครื่องเอ็กซเรย์ (X-ray devices) รวมถึงเครื่องมือแพทย์ทางด้านทันตกรรม ในส่วนของภูมิภาคยุโรป ประเทศที่ผลิตเครื่องมือแพทย์ที่สำคัญ ได้แก่ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะเยอรมนีถือเป็นผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องของคุณภาพ รวมถึงการพัฒนาคิดค้นเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
 

 
ส่วนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตเครื่องมือแพทย์และมีการเติบโตด้านการส่งออกอย่างต่อเนื่องคือ ญี่ปุ่น (ส่งออกอันดับ 3 ของโลก สัดส่วน 8.0%) จากการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยในระดับต้นของเอเชียและได้รับการยอมรับจากทั่วโลก รองลงมาคือ จีน (อันดับ 4 ของโลก สัดส่วน 7.0%) ซึ่งอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในจีนจะเป็นการผลิตเครื่องมือแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีไม่สูงเช่นเดียวกับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในภูมิภาคอาเซียน ทำให้จีนและอาเซียนต้องนำเข้าครื่องมือแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีสูงจากต่างประเทศแทบทั้งสิ้น ทั้งจากสหรัฐฯ เยอรมนี และญี่ปุ่น 

สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทย ปัจจุบันอยู่ภายใต้พ.ร.บ. เครื่องมือแพทย์พ.ศ. 2551 โดยมีกองควบคุมเครื่องมือแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นหน่วยงานกำกับดูแล และรับผิดชอบในการออกใบอนุญาตการผลิต/จำหน่าย/นำเข้าเครื่องมือแพทย์ที่ได้มาตรฐานตามที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กำหนด เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตและนำเข้ามานั้นได้มาตรฐานเดียวกันทั้งหมด และยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าให้เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและตลาดส่งออก

ไทยมีมูลค่าการส่งออกและนำเข้าเครื่องมือแพทย์รวมกันสูงเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มอาเซียน (สัดส่วนมูลค่าส่งออกต่อมูลค่านำเข้าอยู่ที่ 72:28, ภาพที่ 4) โดยผลิตภัณฑ์ที่ไทยผลิตเพื่อส่งออกส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องมือแพทย์ในกลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ คิดเป็นสัดส่วน 84% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องมือแพทย์ทั้งหมด กลุ่มสินค้าส่งออกหลัก ประกอบด้วย ถุงมือยางทางการแพทย์ หลอดสวนและหลอด/เข็มฉีดยา และอุปกรณ์ทำแผล เป็นต้น ผู้ประกอบการที่ทำการผลิตและส่งออกส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยและส่งกลับไปขายในประเทศของตน (อาทิ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ฝรั่งเศส) โดยประเทศที่ไทยส่งออกเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์มากที่สุดคือ สหรัฐฯ (สัดส่วน 29% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องมือแพทย์ทั้งหมด) รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนี ตามลำดับ ส่วนผลิตภัณฑ์นำเข้าส่วนใหญ่จะเป็นวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์และครุภัณฑ์ทางการแพทย์ สัดส่วนใกล้เคียงกันที่ 43% และ 40% ตามลำดับ เช่น เครื่องอัลตราซาวน์ เครื่องเอ็กซเรย์ เครื่องตรวจวัดคลื่นหัวใจ เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าในสมอง และผลิตภัณฑ์ทางจักษุวิทยา โดยแหล่งนำเข้าหลักคือ สหรัฐฯ (สัดส่วน 21% ของมูลค่าการนำเข้าเครื่องมือแพทย์ทั้งหมด) รองลงมา ได้แก่ จีน เยอรมนี และญี่ปุ่น ตามลำดับ (ภาพที่ 5) 
 



 
การผลิตเครื่องมือแพทย์ของไทยเน้นผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก โดยมูลค่าการจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ในประเทศและส่งออกมีสัดส่วนที่ 30:70 เครื่องมือแพทย์ที่ไทยผลิตส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์ขั้นพื้นฐานเน้นการผลิตที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก ได้แก่ ยาง และพลาสติก จำแนกได้ตามประเภทการใช้งาน ดังนี้
  • กลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์ที่ไทยมีศักยภาพในการผลิตสูงและแข่งขันได้ดีในตลาดโลกคือ ถุงมือยางทางการแพทย์ เนื่องจากใช้เทคโนโลยีในการผลิตไม่ซับซ้อน อีกทั้งไทยยังเป็นผู้ผลิตยางพาราที่สำคัญของโลกซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบหลักทางการผลิต (Resource-based) การผลิตถุงมือยางทางการแพทย์จะเน้นผลิตเพื่อส่งออกในสัดส่วนสูงราว 90% ของปริมาณการจำหน่ายถุงมือยางทางการแพทย์ทั้งหมด ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มีการเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากมีความต้องการเพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ รองลงมาคือ หลอดสวนและหลอดฉีดยา ใช้พลาสติกเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการผลิต มีต้นทุนไม่สูงนัก และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานทั่วไป โดยผู้ผลิตในกลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์มีสัดส่วนสูงสุดประมาณ 41% ของจำนวนผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ทั้งหมด (ภาพที่ 6)
 
 
  • กลุ่มครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์ที่ไทยผลิตและการส่งออกส่วนมากเป็นครุภัณฑ์ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและเตียงผู้ป่วย เตียงตรวจ รถเข็นผู้ป่วย ซึ่งใช้เทคโนโลยีในการผลิตไม่สูงมาก โดยผู้ผลิตในกลุ่มครุภัณฑ์มีสัดส่วนประมาณ 23%
  • กลุ่มชุดน้ำยาและชุดวินิจฉัยโรค ตลาดในประเทศยังมีขนาดเล็กมีจำนวนผู้ผลิตเพียง 5% ของผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ ส่วนใหญ่จะเป็นการร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทย โดยผลิตภัณฑ์หลัก อาทิ น้ำยาตรวจโรคเบาหวาน โรคไต โรคตับอักเสบ ซึ่ง 1-2 ปีที่ผ่านมา ไทยมีการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ชุดน้ำยาและชุดวินิจฉัยโรคเพื่อเฝ้าระวังการเกิดโรคร้ายแรงที่ไม่ติดต่อในผู้สูงอายุมากขึ้น

จำนวนผู้ผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ในไทยที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจมีประมาณ 594 ราย[2] (ที่มา Business Online, 2561) ส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตรายกลางและเล็ก (SME) 584 ราย  คิดเป็นสัดส่วน 98% ในขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่มีจำนวน 10 ราย (สัดส่วน 2%) ในปี 2560 ผู้ผลิตรายใหญ่มีส่วนแบ่งรายได้รวมกันประมาณ 65% (ภาพที่ 7) ซึ่งในจำนวนนี้หลายรายเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีสำนักงานในประเทศไทย (Multinational companies: MNCs) ตัวอย่างเช่น บริษัทนิโปร (ประเทศไทย), บริษัท โฮยา ออปติคส์ (ประเทศไทย), บริษัทคาวาซูมิ ลาบอราทอรี่ (ประเทศไทย) เป็นต้น (ตารางที่ 2) ส่วนผู้ประกอบการที่จดทะเบียนนำเข้าเครื่องมือแพทย์ (ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) มีจำนวนกว่า 2,000 แห่ง โดยผู้ผลิตและผู้นำเข้ามีช่องทางการจำหน่าย ดังนี้ (ภาพที่ 8)
 




 
  1. การจำหน่ายโดยตรงกับโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลทั้งของภาครัฐและเอกชน  โดยการจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลรัฐจะเป็นไปตามนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ปัจจุบันกระทรวงการคลังได้ปรับเปลี่ยนระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐจากเดิมที่ใช้วิธีตกลงราคา (จัดซื้อไม่เกิน 1 แสนบาท) วิธีสอบราคา (จัดซื้อเกิน 1 แสนบาท แต่ไม่เกิน 2 ล้านบาท) และวิธีประกวดราคา (จัดซื้อเกิน 2 ล้านบาท) มาเป็นวิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic bidding: e-bidding) ส่วนการเข้าไปประมูลในโรงพยาบาลเอกชนจะนำส่งใบสั่งซื้อตามระเบียบของโรงพยาบาลนั้นๆ 
  2. การจำหน่ายต่อให้กับบริษัทตัวแทนจัดจำหน่าย/ร้านค้า ทั้งที่เป็นบริษัทในเครือของผู้ผลิต/ผู้นำเข้า และร้านค้าทั่วไป เพื่อกระจายสินค้าต่อไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในประเทศ ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้มักจะเป็นผู้ที่มีความรู้หรืออยู่ในวงการด้านการรักษาสุขภาพ ทำให้มีช่องทางการจำหน่ายกว้างขวาง
  3. ​การจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องมือแพทย์ประเภทวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ ตลาดส่งออกหลัก คือ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเยอรมนี รายสำคัญ คือ บริษัทไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สินค้าส่งออกหลักคือ ถุงมือยางที่ใช้ในการแพทย์

สำหรับผู้จำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ในประเทศมีทั้งที่เป็นตัวแทนจำหน่ายขายส่ง และขายปลีก[3] มีจำนวนกว่า 10,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายกลางและเล็ก (SME) เกือบทั้งหมด คิดเป็นสัดส่วน 99.6% (ภาพที่ 9) รายได้รวมกันกว่า 60% ของรายได้รวมทั้งหมด โดยผู้ประกอบรายสำคัญ เช่น บริษัทซิลลิค ฟาร์มา, บริษัทฟาร์มาฮอฟ, บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย), บริษัทไบโอเนท–เอเชีย, บริษัทไบโอจีนีเทค, บริษัทเมดโทรนิก (ประเทศไทย), บริษัทบี.บราวน์ (ประเทศไทย), บริษัทเทคโน เมดิคัล เป็นต้น การแข่งขันในกลุ่มผู้จำหน่ายค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากการเข้ามาจดทะเบียนสถานประกอบการจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ในประเทศทำได้ไม่ยากนัก (Low barrier to entry) อีกทั้งสินค้าที่จำหน่ายส่วนใหญ่จะมีลักษณะใกล้เคียงกันทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายรายอื่นทดแทนได้ง่าย
 

โอกาสในการทำกำไรของผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ในประเทศและผู้นำเข้าอาจไม่สูงนัก เนื่องจาก 1) ผู้ผลิตที่จำหน่ายเครื่องมือแพทย์โดยเน้นตลาดประมูลในโรงพยาบาล มักมีแรงกดดันจากการแข่งขันด้านราคา 2) การจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นำเข้าส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานนาน (ครุภัณฑ์ทางการแพทย์) ทำให้ความถี่ในการเปลี่ยนเครื่องมือและอุปกรณ์ใหม่มีไม่มากนัก และ 3) ผู้ผลิตและผู้ประกอบการนำเข้าวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ อาจมีต้นทุนเพิ่มจากการทำป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน ขณะที่ต้นทุนสินค้านำเข้ายังผันแปรตามการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี/นวัตกรรมใหม่ๆ

การเติบโตของธุรกิจขึ้นอยู่กับการขยายตัวของการบริการด้านสาธารณสุขและการสนับสนุนจากภาครัฐ ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับนักลงทุน อีกทั้งอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ยังเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ของภาครัฐ (New S-curve) ที่มีแผนสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อรองรับเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และการส่งออกเครื่องมือแพทย์ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) ที่มีความต้องการสินค้าประเภทนี้มากขึ้น นอกจากนี้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ได้มีการกำหนดทิศทางในการส่งเสริมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยในระยะแรกเน้นการส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันในอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ที่มีความต้องการใช้ในประเทศสูง และเป็นอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อนมาก จึงส่งผลให้มีนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้มากขึ้น ทำให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมค่อนข้างสูงจากจำนวนผู้ประกอบการที่เพิ่มมากขึ้น
 

สถานการณ์ที่ผ่านมา


อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือแพทย์ในประเทศได้ปัจจัยสนับสนุนจากความได้เปรียบด้านคุณภาพการบริการและมาตรฐานการรักษาของไทย (ตารางที่ 3) อีกทั้งนโยบายศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ที่รัฐบาลไทยประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2546 ส่งผลให้การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) เติบโตขึ้นต่อเนื่อง ในปี 2560 ผู้ป่วยต่างชาติเข้ามารับการรักษาพยาบาลในไทยมากกว่า 2 ล้านคน[4] จากประมาณ 1.4 ล้านคนในปี 2558 นอกจากนี้ การตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางการส่งออกเครื่องมือแพทย์ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) ที่มีความต้องการสินค้าประเภทนี้มากขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยมีการเติบโตต่อเนื่องทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556-2560) ยอดขายในประเทศและการส่งออก (สัดส่วน 30:70) มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 9.0% และ 5.7% ต่อปี ตามลำดับ และในปี 2561 ยอดขายในประเทศยังเติบโตต่อเนื่องที่ 51.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.4% YoY จากที่ขยายตัว 7.0% ในปี 2560 ส่วนการส่งออกมีมูลค่า 107.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% YoY จากที่ขยายตัว 5.9% YoY ในปี 2560 (ภาพที่ 10) 
 

 

การผลิตเครื่องมือแพทย์ในประเทศขยายตัวต่อเนื่องตามความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นทั้งจากตลาดในประเทศและตลาดส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มชุดน้ำยาและวินิจฉัยโรคยังเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโต เนื่องจากภาครัฐมีนโยบายผลักดันด้านการส่งออกและสนับสนุนด้านการวิจัย รวมทั้งส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตในอุตสาหกรรมต้นน้ำประเภทนี้มากขึ้น โดยในปี 2561 อัตราการใช้กำลังการผลิตเครื่องมือแพทย์เฉลี่ยอยู่ที่ 75.6% เพิ่มขึ้นจาก 70.9% ในปี 2560 ส่วนดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 104.9 จาก 102.5 ในปี 2560 (ภาพที่ 11)
 

สถานการณ์ด้านการส่งออกเครื่องมือแพทย์[5] ในปี 2561 ขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2560 ที่ 5.2% YoY คิดเป็นมูลค่า 107.76 พันล้านบาท โดยตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเยอรมนี (สัดส่วนรวมกัน 48% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องมือแพทย์ทั้งหมด) ขยายตัว 4.5% YoY และเมื่อแยกตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ พบว่า กลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุด (83.4% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องมือแพทย์ทั้งหมด) มีมูลค่า 89.90 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% YoY กลุ่มครุภัณฑ์ทางการแพทย์ (สัดส่วน 15.4%) มีมูลค่าส่งออก 16.60 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% YoY ส่วนกลุ่มชุดน้ำยาและวินิจฉัยโรค (สัดส่วน 1.2% เพิ่มขึ้นจาก 0.5% ในปี 2560) มีมูลค่าส่งออก 1.26 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราเร่ง 153% YoY โดยตลาดที่ไทยส่งออกชุดน้ำยาและวินิจฉัยโรคขยายตัวเร่งขึ้นต่อเนื่องคือ ญี่ปุ่น (+590% YoY) จากการที่ญี่ปุ่นใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุในญี่ปุ่น

ส่วนการนำเข้าเครื่องมือแพทย์[5] ในปี 2561 มีมูลค่า 66.54 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% จากที่หดตัว 0.6% ในปี 2560 โดยกลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ (สัดส่วน 43% ของมูลค่าการนำเข้าเครื่องมือแพทย์ทั้งหมด) มีมูลค่า 28.55 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.9% YoY และกลุ่มชุดน้ำยาและวินิจฉัยโรค (สัดส่วน 18%) มีมูลค่านำเข้าอยู่ที่ 11.66 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.0% YoY ส่วนกลุ่มครุภัณฑ์ทางการแพทย์ (สัดส่วน 40%) มีมูลค่า 26.33 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.7% จากที่หดตัว 8.0% ในปี 2560 (ภาพที่ 12-13) โดยการนำเข้าทั้งหมดส่วนใหญ่มาจากสหรัฐฯ เยอรมนี และญี่ปุ่น (สัดส่วนรวมกัน 39% ของมูลค่าการนำเข้าเครื่องมือแพทย์ทั้งหมด) มีมูลค่ารวมกันเพิ่มขึ้น 2.5% จากที่หดตัวในปีก่อนหน้า ขณะที่การนำเข้าจากจีน (สัดส่วน 13%) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 15.7% YoY  
 


 

แนวโน้มอุตสาหกรรม


ในปี 2562-2564 คาดว่าอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือแพทย์ (ยอดขายในประเทศและส่งออก) จะเติบโตต่อเนื่องในอัตราประมาณ 8.0-10.0% ต่อปี (ภาพที่ 14) ปัจจัยหนุนทั้งจากนโยบายภาครัฐ การเติบโตทางด้านอุปสงค์ และอุปทาน ดังนี้
 

 
1) นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐในการให้สิทธิพิเศษการลงทุนกับกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตเครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วน อาทิ เครื่องมือแพทย์ที่จัดอยู่ในประเภทความเสี่ยงสูง หรือเทคโนโลยีสูง เช่น เครื่อง X-ray เครื่อง MRI เครื่อง CT scan และวัสดุฝังในร่างกาย หรือเครื่องมือแพทย์ที่มีการนำผลงานวิจัยภาครัฐหรือที่ดำเนินการร่วมกับภาครัฐไปผลิตเชิงพาณิชย์ในกรณีมีการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี ไม่จำกัดวงเงิน นอกจากนี้ ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดตาก สระแก้ว เชียงราย และนครพนม ยังจะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เพิ่มเติมอีก 5 ปี (รายละเอียดหน้า 7)


การตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และการส่งออก (Medical Hub) ในภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2563 และเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-curve) ของภาครัฐที่มีแผนสนับสนุนการลงทุนโดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะส่งผลให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ และส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น

​2) การเจ็บป่วยที่เพิ่มขึ้นของคนไทย โดยเฉพาะจำนวนผู้ป่วยจากโรคเฉพาะทาง อาทิ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่มีมากขึ้น (ภาพที่ 15) หนุนความต้องการใช้บริการทางการแพทย์ที่ทันสมัยและเทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้น โดยเฉพาะอุปกรณ์การตรวจวินิจฉัยโรค ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปของไทยจะเพิ่มขึ้นจาก 11.23 ล้านคนในปี 2560 เป็น 13.1 ล้านคนปี 2564 และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเป็น 228 พันล้านบาท (2.8%ของ GDP) ในปี 2565 จาก 63 พันล้านบาทปี 2553 (2.1%ของ GDP) (จากแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฉบับที่ 12 พ.ศ 2560-2564)
 


 
 
 
3) สัดส่วนจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการรักษาพยาบาลในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากความได้เปรียบของไทยทั้งในแง่คุณภาพและมาตรฐานการรักษาเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน โดยในปี 2559 สัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการมีประมาณ 6.9% ของผู้ป่วยรวม และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยส่วนหนึ่งเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย (Expatriate) และประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไปและนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Tourist & Medical tourist) ซึ่งใน 2 กลุ่มหลังนี้มีสัดส่วนรวมกันประมาณ 80% ของผู้ป่วยต่างชาติทั้งหมด ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2562 จำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการในไทยจะขยายตัว 5.0% และจะเพิ่มขึ้นเป็น 8.0% ในปี 2563 จากที่ขยายตัวราว 5.0% ในปี 2561 (ภาพที่ 16) ซึ่งจะยิ่งสนับสนุนให้ความต้องการอุปกรณ์การแพทย์ในไทยขยายตัวต่อเนื่อง
 

 
4) ธุรกิจโรงพยาบาลมีแผนขยายการลงทุนเพิ่มเติมทั้งการสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่และการลงทุนทางด้านเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อรองรับผู้ป่วยทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะการลงทุนศูนย์รักษาโรคซับซ้อน โดยโรงพยาบาลขนาดใหญ่หลายแห่งมีแผนลงทุนขยายสาขาเพื่อเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการ (เช่น  โรงพยาบาลกรุงเทพวางเป้าหมาย 50 สาขาในปี 2561 จาก 45 สาขาในปี 2560 และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์พัฒนาสาขาเพชรบุรีตัดใหม่ คาดจะเปิดให้บริการในปี 2563) ส่งผลให้จำนวนโรงพยาบาลและเตียงผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกมาก ทั้งนี้ คาดว่าจำนวนเตียงของโรงพยาบาลเอกชนจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 1,000 เตียงในปี 2564 จากประมาณ 41,000 เตียง ณ สิ้นปี 2561 (ภาพที่ 17)
 

 
ด้านโอกาสทางการตลาดและการส่งออกของแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ ประเมินว่า กลุ่มครุภัณฑ์ทางการแพทย์และกลุ่มชุดน้ำยาและวินิจฉัยโรคมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะชุดตรวจวินิจฉัยโรคเพื่อการเฝ้าระวังการเกิดโรคโดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีนโยบายสนับสนุนให้มีการตรวจโรคระดับชุมชน  หน่วยตรวจโรคเคลื่อนที่ รวมถึงการขยายการลงทุนสร้างโรงพยาบาลใหม่ ทำให้คาดว่าจะมีความต้องการใช้ชุดตรวจวินิจฉัยโรคและเครื่องมือแพทย์ในกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีสูงมากขึ้น ขณะที่ปัจจุบันผู้ประกอบการในประเทศยังมีไม่มาก อีกทั้งกลุ่มประเทศอาเซียนยังไม่มีฐานการผลิต จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการในไทย ส่วนกลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ ซึ่งมีสัดส่วนสูงยังทยอยเติบโตต่อเนื่อง ปัจจัยหนุนจากการขยายตัวของการให้บริการสาธารณสุข และเป็นสินค้าจำเป็นที่ใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นถุงมือยางทางการแพทย์ (ไทยมีแหล่งวัตถุดิบยางพาราในการผลิต) และหลอดฉีดยา/หลอดสวน 

การแข่งขันในอุตสาหกรรมมีแนวโน้มสูงขึ้น จากการเข้ามาลงทุนของบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศ ตอบรับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของ BOI รวมถึงมาตรการยกเว้นอากรขาเข้าชิ้นส่วน/วัตถุดิบเพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนา (ในปี 2561 มีโครงการต่างชาติที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจบริการทางการแพทย์ จำนวน 14 โครงการ เงินลงทุน 3,587 ล้านบาท เทียบกับ 7 โครงการ เงินลงทุน 2,200 ล้านบาทในปีก่อนหน้า) สำหรับผลิตภัณฑ์เป้าหมายที่มีศักยภาพ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับผู้สูงอายุ วัสดุสิ้นเปลือง (ที่มีนวัตกรรม) วัสดุฝังใน (Implant) ชิ้นส่วนของเครื่องวินิจฉัยทางไฟฟ้าและรังสี ทั้งนี้ ญี่ปุ่นยังคงสนใจเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานการผลิตอย่างต่อเนื่อง จึงอาจมีส่วนเพิ่มแรงกดดันด้านการแข่งขัน ขณะเดียวกันผู้ประกอบการส่วนใหญ่ซึ่งต้องนำเข้าอุปกรณ์การผลิตยังอาจเผชิญความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินบาทและต้นทุนสินค้านำเข้าที่ผันแปรตามการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี/นวัตกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องมีการสต็อก
 

มุมมองวิจัยกรุงศรี


คาดว่ารายได้ของผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ในช่วงปี 2562-2564 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการยังมีโอกาสในการทำกำไรท่ามกลางภาวะการแข่งขันในธุรกิจที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
  • ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์: คาดว่าผลประกอบการน่าจะอยู่ในเกณฑ์ดีและมีโอกาสทำกำไรได้ต่อเนื่อง แม้การแข่งขันในธุรกิจจะมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยรายได้ของผู้ผลิตที่เป็นผู้จำหน่ายเครื่องมือแพทย์ผ่านสถานพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนมีแนวโน้มปรับดีขึ้น จากการที่โรงพยาบาลเอกชนมีแผนสร้างโรงพยาบาลใหม่และลงทุนทางด้านเครื่องมือทางการแพทย์เพิ่มเติม นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังมีโอกาสขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อานิสงส์จากแผนสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อรองรับเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และการส่งออกเครื่องมือแพทย์ไปยังประเทศเพื่อนบ้านของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในธุรกิจมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยเฉพาะกับบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยและส่งกลับไปขายในประเทศของตน (อาทิ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ฝรั่งเศส) ขณะเดียวกันผู้ผลิตที่ส่วนใหญ่ต้องนำเข้าชิ้นส่วนอุปกรณ์การผลิตอาจมีต้นทุนเพิ่มจากการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน
  • ผู้จำหน่ายเครื่องมือแพทย์  (ผู้ค้าส่ง/ค้าปลีก/ผู้นำเข้ามาจำหน่าย) : คาดว่ารายได้เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าผลิตภัณฑ์จำหน่ายส่วนใหญ่เป็นวัสดุสิ้นเปลืองใช้แล้วทิ้ง ทำให้ยังคงมีความต้องการใช้ในสถานพยาบาลและผู้ป่วยทั่วไปค่อนข้างสม่ำเสมอ แต่การแข่งขันจะรุนแรงขึ้นจากผู้จำหน่ายรายกลางและเล็กซึ่งมีจำนวนมาก และผู้จำหน่ายเครื่องมือแพทย์ยังต้องแข่งขันกับบริษัทตัวแทน/ร้านค้าที่เป็นบริษัทในเครือของผู้ผลิต ซึ่งมีช่องทางการจำหน่ายกว้างขวางกว่า ส่วนผู้นำเข้าเครื่องมือแพทย์ส่วนใหญ่เป็นรายใหญ่ที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการด้านต้นทุนและด้านการตลาด
 



 

[1]เครื่องมือแพทย์หมายถึง เครื่องใช้ผลิตภัณฑ์หรือวัตถุสำหรับใช้ในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม การประกอบวิชาชีพพยาบาลและการผดุงครรภ์ หรือเครื่องใช้ให้เกิดผลแก่สุขภาพ โครงสร้างของร่างกายมนุษย์ เช่น เครื่องเอ็กซเรย์ เครื่องอัลตราซาวน์ ชุดน้ำยาตรวจวินิจฉัยโรค เครื่องมือทันตกรรม เป็นต้น ส่วนอุปกรณ์ทางการแพทย์หมายถึง อุปกรณ์ผ่าตัดและอุปกรณ์การแพทย์ อาทิเช่น มีดผ่าตัด เครื่องวัดปรอท รวมถึงวัสดุการแพทย์ เช่น  ถุงมือยางทางการแพทย์ ผ้าก๊อซ  เป็นต้น
[2]รวมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางทันตกรรม
[3]หมายถึง การดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการขายส่ง-ขายปลีกสินค้าทางการแพทย์ ซึ่งได้แก่ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ทางการแพทย์ วัสดุที่ใช้แต่งแผลที่มีสารยึดติด ชุดปฐมพยาบาล ผลิตภัณฑ์เคมีที่ใช้ภายนอกสำหรับคุมกำเนิด รวมถึงการจัดจำหน่ายสินค้าทางเภสัชภัณฑ์
[4]ประมาณการโดยวิจัยกรุงศรี 
[5]ข้อมูลส่งออก / นำเข้าจาก Medical Device Intelligence Unit, สถาบันพลาสติกแห่งประเทศไทย

Tag:
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา