EXECUTIVE SUMMARY
ปริมาณการผลิตเครื่องดื่มมีแนวโน้มขยายตัวฉลี่ย 3.5-4.5% ต่อปี ในช่วงปี 2568-2570 โดยยอดขายในประเทศจะขยายตัว 3.5-4.5% ต่อปี จาก 1) แนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของกิจกรรมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่จะเอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจสันทนาการ 2) สภาวะอากาศที่ร้อนขึ้นทุกปี 3) การเติบโตของเมือง ร้านสะดวกซื้อ และแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ที่เอื้อต่อการขยายช่องทางการจำหน่าย และ 4) การพัฒนาสินค้าหลากหลายเพื่อสุขภาพ โดยแรงขับเคลื่อนการเติบโตส่วนใหญ่จะมาจากกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ส่วนปริมาณการส่งออกมีแนวโน้มเติบโต 2.0-3.0% ต่อปี จากการค้าตามแนวชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านที่คาดว่าจะทยอยฟื้นตัว อย่างไรก็ดี การเข้าไปลงทุนของบริษัทของผู้ผลิตไทยในประเทศกลุ่ม CLMV อาจจำกัดการเติบโตของการส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
มุมมองวิจัยกรุงศรี
แนวโน้มผลประกอบการผู้ผลิตเครื่องดื่มโดยรวมของไทยในปี 2568-2570 มีทิศทางฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามสภาวะเศรษฐกิจ ภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ทยอยปรับดีขึ้น แต่อาจเผชิญต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อนที่จะรุนแรงขึ้น
-
ผู้ผลิตน้ำดื่มและน้ำแร่บรรจุขวด: คาดว่ารายรับจะเพิ่มขึ้น จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและการท่องเที่ยว นอกจากนี้พฤติกรรมการดื่มของผู้บริโภคที่รักสุขภาพจึงคำนึงถึงความสะอาดและปลอดภัยมากขึ้น ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีมาตรฐานการผลิตสูงได้รับประโยชน์ นอกจากนี้ ความต้องการน้ำสะอาดจากประเทศ CLMV ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักยังมีทิศทางขยายตัวได้ดี
-
ผู้ผลิตน้ำอัดลม: อุณหภูมิที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นทุกปีทำให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคเครื่องดื่มที่ทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น ท่ามกลางกระแสรักษ์สุขภาพ ผู้ผลิตหลายรายได้ปรับตัวหันไปใช้สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลมากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สำหรับกลุ่มผู้ใส่ใจสุขภาพ ช่วยหนุนให้รายได้มีแนวโน้มปรับดีขึ้น
-
ผู้ผลิตเบียร์: รายได้ทยอยฟื้นตัวโดยมีแรงหนุนจากการท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้ดีขึ้น ซึ่งรวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์และแคลอรี่ต่ำสำหรับผู้บริโภคที่กังวลเรื่องสุขภาพ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นอาจกดดันความสามารถในการทำกำไร
-
ผู้ผลิตสุรา: ปริมาณการบริโภคมีแนวโน้มขยายตัวได้จำกัด จากความกังวลด้านสุขภาพ อย่างไรก็ดี ผลิตภัณฑ์แฮนด์เมดที่มีเรื่องราวเบื้องหลังและมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ จะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและมีศักยภาพในการเติบโต
ข้อมูลพื้นฐาน
อุตสาหกรรมเครื่องดื่มของไทยส่วนใหญ่เป็นการผลิตในประเทศสัดส่วน 98.6% ของปริมาณเครื่องดื่มที่บริโภคในประเทศทั้งหมด ส่วนที่เหลือมาจากการนำเข้า (สัดส่วน 1.4%) ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสัดส่วน 58% ในเชิงปริมาณ และ 80% ในเชิงมูลค่า โดยตลาดในประเทศเป็นตลาดหลักสัดส่วน 83.7%1/ ของปริมาณจำหน่ายโดยรวม ในปี 2566 อุตสาหกรรมเครื่องดื่มในไทยมีโรงงานที่จดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 409 แห่ง ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคกลางเป็นหลัก โดยจังหวัดนครปฐมมีการจัดตั้งโรงงานเครื่องดื่มมากที่สุดจำนวน 40 โรงงาน รองลงมาได้แก่ ชลบุรี (30 โรงงาน) ปทุมธานี (29 โรงงาน) พระนครศรีอยุธยา (22 โรงงาน) สมุทรสาคร (21 โรงงาน) และกรุงเทพฯ (16 โรงงาน) จำนวนโรงงานเครื่องดื่มทั้งหมดแบ่งเป็น 1) โรงงานเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 349 แห่ง คิดเป็น 85% ของจำนวนโรงงานผลิตเครื่องดื่มทั้งหมด และ 2) โรงงานผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 60 แห่ง คิดเป็น 15% ของจำนวนโรงงานผลิตเครื่องดื่มทั้งหมด
ในปี 2566 ปริมาณจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศของไทยอยู่ที่ 13,022.9 ล้านลิตร คิดเป็นมูลค่า 25,314.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ2/ แบ่งเป็นเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ต่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คิดเป็นสัดส่วน 77:23 ในเชิงปริมาณ และ 36:64 ในเชิงมูลค่า (รูปที่ 1) มีรายละเอียดดังนี้
-
เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ มีปริมาณการจำหน่ายในประเทศ 10,057 ล้านลิตร คิดเป็นมูลค่า 9,045.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นน้ำดื่มและน้ำแร่บรรจุขวดซึ่งมียอดจำหน่ายรวมกัน 6,182.7 ล้านลิตร คิดเป็นสัดส่วนรวมกัน 61.5% ของปริมาณจำหน่ายเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ น้ำอัดลมและโซดา (24.0%) ชาพร้อมดื่ม (4.2%) น้ำผลไม้ (3.4%) เครื่องดื่มชูกำลัง (2.9%) และเครื่องดื่มอื่นๆ (4.0%) ตามลำดับ
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีปริมาณการจำหน่ายในประเทศ 2,965.9 ล้านลิตร คิดเป็นมูลค่า 16,268.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นเบียร์ซึ่งมียอดจำหน่าย 2,181.6 ล้านลิตร คิดเป็น 73.5% ของปริมาณจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด รองลงมาได้แก่ สุรา (24.5%) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม (1.0%) ไวน์ (0.9%) และน้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการหมักหรือบ่มกับยีสต์ (0.1%) ตามลำดับ
ปริมาณการส่งออกเครื่องดื่มของไทยอยู่ที่ 2,540.6 ล้านลิตร คิดเป็นมูลค่า 2,781.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 (รูปที่ 2) ประเทศกัมพูชาเป็นคู่ค้าหลักในการส่งออกเครื่องดื่มของไทย มีสัดส่วน 18.4% ในเชิงปริมาณ ตามด้วย เวียดนาม (13.3%) เมียนมา (12.5%) จีน (11.2%) และสหรัฐฯ (10.9%) โดยผลิตภัณฑ์ส่งออกแบ่งเป็น 1) เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ มีสัดส่วน 93.3% ในเชิงปริมาณ และ 84.6% ในเชิงมูลค่า ประเทศกัมพูชาเป็นคู่ค้าหลัก มีสัดส่วน 19.0% ของปริมาณส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ทั้งหมด รองลงมาได้แก่ เวียดนาม (14.3%) จีน (11.9%) สหรัฐฯ (11.5%) และเมียนมา (10%) และ 2) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีสัดส่วน 6.7% ในเชิงปริมาณ และ 15.4% ในเชิงมูลค่า ประเทศเมียนมาเป็นคู่ค้าหลัก มีสัดส่วน 47.3% ของปริมาณส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (14.4%) กัมพูชา (9.7%) ญี่ปุ่น (5.5%) อิสราเอล (2.6%)
สถานการณ์ที่ผ่านมา
ในปี 2566 ปริมาณการผลิตเครื่องดื่มของไทยมีทิศทางทรงตัวโดยปรับเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ก่อนขยายตัวเร่งขึ้น 4.3% YoY ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 และคาดว่าการผลิตโดยรวมทั้งปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.0-5.0% (รูปที่ 4) โดยจำแนกรายผลิตภัณฑ์ได้ดังนี้
ปี 2566 ปริมาณจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มโดยรวมภายในประเทศเพิ่มขึ้น 7.0%3/ จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ตามทิศทางภาวะเศรษฐกิจ การทยอยกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านตามปกติของผู้บริโภคมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ผับ และบาร์กลับมาฟื้นตัว สำหรับ 9 เดือนแรกปี 2567 ปริมาณจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 4.1% YoY จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจและกิจการรมสันทนาการที่ฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้คาดว่า ปริมาณการจำหน่ายเครื่องดื่มในประเทศทั้งปี 2567 มีแนวโน้มเติบโต 4.0-5.0% โดยสถานการณ์ความต้องการผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศแต่ละประเภท จำแนกได้ ดังนี้
ในปี 2566 ปริมาณส่งออกอยู่ที่ 2.5 พันล้านลิตร (-1.5%) ขณะที่มูลค่าส่งออกอยู่ที่ 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+2.0%) (รูปที่ 16) โดยปริมาณการส่งออกที่หดตัวส่วนใหญ่มาจากน้ำอัดลมและโซดา (-11.9%) และ เบียร์ (-4.8%) สำหรับ 9 เดือนแรกปี 2567 ปริมาณส่งออกขยายตัว 1.6% YoY แรงหนุนจากภาวะกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า อาทิ เวียดนาม ลาว ที่เริ่มกระเตื้องขึ้น ส่วนมูลค่าส่งออกขยายตัว 8.8% YoY ตามราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้นจากแรงกดดันด้านต้นทุนการผลิตและการขนส่งที่สูงขึ้น คาดว่า ทั้งปี 2567 ปริมาณการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวได้ 1.0-2.0% โดยจำแนกรายผลิตภัณฑ์ส่งออกหลักได้ดังนี้
แนวโน้มอุตสาหกรรม
ในช่วงปี 2568-2570 ปริมาณการผลิตเครื่องดื่มโดยรวมของไทยมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 3.5-4.5% ต่อปี แรงหนุนจาก 1) แนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของอุปสงค์ภายในประเทศ และ 2) สินค้าคงคลังที่ลดลงหลังการเร่งระบายสต๊อกในช่วงที่ผ่านมา โดยเริ่มเข้าสู่การสะสมสินค้ารอบใหม่เพื่อรองรับทิศทางการฟื้นตัวต่อเนื่องของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และ 3) การพัฒนาสินค้าหลากหลายเพื่อสุขภาพ พร้อมกลยุทธ์การทำตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยกดดันการเติบโต ได้แก่ 1) ต้นทุนวัตถุดิบทางการเกษตรที่มีทิศทางผันผวนมากขึ้นตามสภาพอากาศที่แปรปรวนจากผลกระทบของภาวะโลกร้อน และ 2) ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ที่อาจปรับสูงขึ้นจากการหันไปใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
-
เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์: ปริมาณการผลิตในประเทศคาดว่าจะขยายตัว 4.0-5.0% ต่อปี โดยแนวโน้มของผลิตภัณฑ์หลักแบ่งเป็น 1) น้ำดื่มและน้ำแร่บรรจุขวดจะขยายตัว 4.0-5.0% ต่อปี และ 2) น้ำอัดลมและโซดาจะขยายตัว 3.0-4.0% ต่อปี ปัจจัยหนุนส่วนใหญ่มาจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ (Demand Driven) โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและกิจกรรมภายในประเทศที่จะขยายตัวมากขึ้น รวมถึงการออกมาทำกิจกรรมภายนอกเต็มที่ของผู้บริโภค ปัจจัยเหล่านี้หนุนให้ผู้ผลิตมีแนวโน้มขยายกำลังการผลิตและเพิ่มการลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต รวมถึงการนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่เน้นด้านสุขภาพ
-
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ปริมาณการผลิตในประเทศโดยรวมคาดว่าจะเติบโตในอัตราต่ำที่ 1.0-2.0% ต่อปี โดยทั้งเบียร์ และสุรา มีแนวโน้มเติบโตในอัตราดังกล่าวเช่นกัน แรงหนุนการเติบโตมาจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและกิจกรรมทางสังคมในประเทศที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตต้องขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าพรีเมียมและคราฟต์ นอกจากนี้ นวัตกรรมด้านรสชาติและส่วนผสมใหม่ๆ จะช่วยขยายช่องทางตลาดครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคได้กว้างขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตอาจต้องปรับตัวต่อกฎระเบียบและภาษีที่อาจเปลี่ยนแปลงในอนาคต รวมถึงข้อจำกัดด้านอุปทานจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ เช่น อ้อยและข้าว ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวน นอกจากนี้ การลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นอาจเป็นอีกปัจจัยที่กดดันการผลิต
แนวโน้มปริมาณการจำหน่ายเครื่องดื่มในประเทศ คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.5-4.5% ต่อปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1) การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิและสภาวะอากาศที่ร้อนขึ้นในแต่ละปีทำให้ความต้องการเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่นยังคงมีทิศทางปรับสูงขึ้น 2) การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการขยายตัวต่อเนื่องของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ช่วยหนุนการเติบโตของธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม ผับ บาร์ และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง 3) การเติบโตของเมืองและการขยายตัวของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าต่างๆ ได้ง่ายขึ้น และ 4) การเพิ่มขึ้นของช่องทางการจำหน่ายออนไลน์และบริการเดลิเวอรี่ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคมีความสะดวกในการซื้อเครื่องดื่มมากขึ้น (เฉพาะเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์)
-
เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์: ปริมาณการจำหน่ายในประเทศคาดว่าจะขยายตัว 4.0-5.0% ต่อปี โดยแนวโน้มของผลิตภัณฑ์หลักแบ่งเป็น 1) น้ำดื่มและน้ำแร่บรรจุขวดจะขยายตัว 4.0-5.0% ต่อปี จากการที่ผู้บริโภคมีความสนใจในเรื่องสุขภาพและนิยมบริโภคน้ำดื่มบริสุทธิ์ที่ปราศจากสารปรุงแต่งมากขึ้น และ 2) น้ำอัดลมและโซดาจะขยายตัว 3.0-4.0% ต่อปี แรงหนุนมาจากการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ โดยการเพิ่มวิตามินหรือแร่ธาตุ พร้อมกับลดปริมาณน้ำตาลหรือใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ทำให้สินค้าตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม มาตรการเข้มงวดในการควบคุมความหวานของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มรอบต่อไปที่จะมีผลในเดือนเมษายน 25684/ ยังเป็นข้อจำกัดการเติบโตของเครื่องดื่มกลุ่มนี้ในตลาดในประเทศ แม้ว่าผู้ประกอบการบางรายจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อปรับตัวแล้วก็ตาม
-
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ปริมาณการจำหน่ายในประเทศคาดว่าจะขยายตัว ที่ 1.5-2.5% ต่อปี โดยผลิตภัณฑ์หลักแบ่งเป็น เบียร์ขยายตัว 1.5-2.5% ต่อปี และสุราขยายตัวเล็กน้อย 1.0-2.0% ต่อปี โดยมีแรงหนุนจาก 1) การฟื้นตัวต่อเนื่องของธุรกิจท่องเที่ยวและกิจกรรมทางธุรกิจ 2) การพัฒนาสินค้ารูปแบบใหม่ที่มีแอลกอฮอล์และพลังงานลดลง รวมถึงการพัฒนาสุราและเบียร์คราฟต์ที่มีรสชาติหลากหลายมากขึ้นช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคที่มองหาตัวเลือกที่แตกต่างและมีความหลากหลาย อย่างไรก็ตาม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังมีปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตได้แก่ 1) การตระหนักถึงประเด็นเรื่องสุขภาพที่ส่งผลให้ผู้บริโภคบางส่วนลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ 2) ช่องทางการจำหน่ายที่ยังถูกจำกัดจากกฎหมายควบคุมให้จำหน่ายผ่านร้านค้า ห้างสรรพสินค้า หรือกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Offline Retail) เท่านั้น รวมทั้งการห้ามโฆษณา ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการสูญเสียโอกาสในการนำเสนอผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภคตามสื่อและช่องทางออนไลน์ต่างๆ
แนวโน้มปริมาณส่งออก คาดว่าจะขยายตัว 2.0-3.0% ต่อปี จากการการค้าตามแนวชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านที่คาดว่าจะทยอยฟื้นตัว อย่างไรก็ดี มีปัจจัยกดดันจากการเข้าไปลงทุนของบริษัทของผู้ผลิตไทยในประเทศกลุ่ม CLMV ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้ปริมาณการส่งออกลดลงโดยแบ่งเป็นรายผลิตภัณฑ์ดังนี้
-
เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์: ปริมาณการส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 2.5-3.5% ต่อปี โดยแนวโน้มของผลิตภัณฑ์หลักแบ่งเป็น 1) น้ำดื่มและน้ำแร่บรรจุขวดจะขยายตัว 4.5-5.5% ต่อปี ตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการขยายช่องทางการค้าในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นตลาดที่ยังคงมีความต้องการน้ำดื่มสะอาดเพิ่มขึ้น จากการที่ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น 2) น้ำอัดลมและโซดาจะหดตัว -1.5% ถึง -2.5% ต่อปี เนื่องจากคู่ค้าหลักโดยเฉพาะกัมพูชาและเมียนม่า มีการเข้าไปลงทุนของผู้ประกอบการไทย บริษัทข้ามชาติ และบริษัทท้องถิ่นมากขึ้น ประกอบกับราคาจำหน่ายเครื่องดื่มท้องถิ่นมีราคาต่ำกว่าสินค้านำเข้า อีกทั้งแนวโน้มการบริโภคหันไปนิยมเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแทนน้ำอัดลมมากขึ้น 3) เครื่องดื่มให้พลังงานจะขยายตัว 3.0-4.0% ต่อปี โดยแรงขับเคลื่อนส่วนใหญ่มาจากประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในกลุ่มคนทำงานที่นิยมออกกำลังกาย ทำให้ต้องการแหล่งพลังงานที่สดชื่นและรวดเร็วตามวิถีชีวิตที่เร่งรีบ และ 4) น้ำผลไม้จะขยายตัวที่ 4.0-5.0% ต่อปี โดยคาดว่าตลาดหลักอย่างจีนและสหรัฐฯ จะยังขยายตัวได้จากการที่ผู้บริโภคนิยมนำน้ำผลไม้ไปผสมเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ หรือบริโภคผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจากธรรมชาติเพื่อสุขภาพมากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจากไทยมีชื่อเสียงทั้งด้านเอกลักษณ์ของรสชาดและวัตถุดิบจากผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ
-
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ปริมาณการส่งออกคาดว่าจะหดตัว -1.0% ถึง -2.0% ต่อปี โดยผลิตภัณฑ์หลัก ทั้งเบียร์ และสุรา มีแนวโน้มจะหดตัวอัตราเท่ากันที่ -1.0% ถึง -2.0% ต่อปี เนื่องจาก 1) การแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศเพื่อนบ้านที่รุนแรงขึ้นจากทั้งผู้ผลิตในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านของผู้ผลิตไทย ซึ่งอาจส่งผลต่อปริมาณและมูลค่าการส่งออกจากไทยในอนาคต 2) ปัญหาการเมืองและความไม่แน่นอนของกฏระเบียบการค้าชายแดนของเมียนมาซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อีกทั้งสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเมียนมาที่ยังคงยืดเยื้อ แม้ว่าจะยังมีปัจจัยบวกอยู่บ้างจาก 1) ภาวะเศรษฐกิจในตลาดประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) ยังมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัว ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น และ 2) บริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยมีการลงทุนในการปรับปรุงกระบวนการผลิต รองรับการทำการตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้าในตลาดต่างประเทศ
การปรับตัวสู่ความยั่งยืนทางธุรกิจ (Sustainability)
ความยั่งยืนกลายเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจเครื่องดื่มในประเทศไทย โดยปัจจัยด้าน ESG (Environmental, Social, and Governance) ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ผลักดันให้อุตสาหกรรมเครื่องดื่มปรับตัวสู่ความยั่งยืนมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้บริโภคและนักลงทุนต่างให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากยิ่งขึ้น ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว
1/ ที่มา : Euromonitor, Ministry of Commerce
2/ อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทยประจำปี 2566 ที่ 34.81 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
3/ การจำหน่ายของปี 2566 ใช้ข้อมูลจาก Euromonitor และการจำหน่ายของ 9 เดือนแรกปี 2567 ใช้ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และคาดการณ์โดยวิจัยกรุงศรี
4/ การจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มตามปริมาณความหวาน (ภาษีสรรพสามิตตามปริมาณ = (ภาษีตามปริมาณความหวาน × ปริมาตรสุทธิ(มิลลิลิตร) / 1,000 )) โดยอิงกับการกำหนดพิกัดภาษีสรรพสามิต ฉบับที่ 28 ปี 2565 (ล่าสุด) ที่มีการปรับโครงสร้างอัตราภาษีในส่วนของเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ แบ่งเป็น 1) จัดเก็บภาษีตามมูลค่าและตามปริมาณความหวานของเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งในระยะแรกภาษีเพิ่มขึ้นในอัตราไม่สูงนัก แต่จะปรับเพิ่มทุกๆ 2 ปี โดยระยะถัดไปนั้นจะเริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน 2568 เป็นต้นไป 2) ยกเลิกเครื่องดื่มประเภทชาและกาแฟออกจากรายการเครื่องดื่มที่ได้รับการยกเว้นภาษีภายใต้เงื่อนไขด้านการส่งเสริมการใช้วัตถุดิบการเกษตร และด้านการจัดเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ มีผลให้เครื่องดื่มชาและกาแฟเข้าข่ายถูกจัดเก็บภาษีเพิ่ม (รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านต่อใน box 1)
5/ ที่มา: ประกาศกรมสรรพสามิต เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเสียภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละศูนย์สำหรับเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้และน้ำพืชผัก
6/ ที่มา: ประกาศกรมสรรพสามิต เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเสียภาษีในอัตราตามมูลค่าสำหรับเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้และน้ำพืชผักที่มีการเติมสารอาหารหรือสารอื่น