Executive Summary
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างปี 2565 มีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยงจากต้นทุนที่ปรับสูงขึ้นมากทั้งด้านค่าขนส่งและราคาวัสดุก่อสร้าง จากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ผลักดันให้ราคาน้ำมันและวัสดุก่อสร้างที่สำคัญโดยเฉพาะเหล็กและปูนซีเมนต์ปรับเพิ่มขึ้น สำหรับปี 2566-2567 ธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตตามมูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมที่คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 4.5-5.5% ต่อปี
ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridors: EEC) ที่มีแนวโน้มจะเร่งตัวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในพื้นที่ EEC ระยะที่ 2 (ปี 2565-2569) ขณะที่การลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนทั้งโครงการที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวตามกำลังซื้อที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานที่คืบหน้ามากขึ้น นอกจากนี้ ผู้รับเหมารายใหญ่ยังมีโอกาสรับงานก่อสร้างในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวและมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง
มุมมองวิจัยกรุงศรี
ในปี 2565-2567 รายได้ของกลุ่มผู้รับเหมาที่เน้นโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามการลงทุนก่อสร้างภาครัฐที่ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ขณะที่รายได้ของกลุ่มที่เน้นโครงการภาคเอกชนยังซบเซาในปี 2565 ก่อนจะทยอยปรับตัวดีขึ้นในปี 2566-2567
-
ผู้รับเหมางานก่อสร้างโครงการวิศวกรรมโยธาขนาดใหญ่ คาดว่ารายได้จะฟื้นตัวตามการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยรายใหญ่และรายกลาง รายได้จะขยายตัวต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความพร้อมในการประมูลรับงานและมีศักยภาพในการบริหารงานก่อสร้างขนาดใหญ่ ทั้งโครงการลงทุนต่อเนื่องของภาครัฐ อาทิ รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ และโครงข่ายคมนาคมขนาดใหญ่ (Megaprojects) ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ EEC รวมทั้งโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่นๆ ที่ยังมีแนวโน้มขยายตัว
-
ผู้รับเหมางานก่อสร้างภาคเอกชนในกลุ่มที่อยู่อาศัยอาคารทั่วไป กลุ่มอาคารสูง และอาคารขนาดใหญ่ รายได้มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวในปี 2566-2567 โดยรายได้อาจยังทรงตัวในปี 2565 จากการแบกรับภาระต้นทุนน้ำมันแพงและวัสดุก่อสร้างมีราคาสูง โดยคาดว่ารายได้ของกลุ่มรายใหญ่และรายกลางจะฟื้นตัวได้ก่อนโดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นรับงานโครงการ Mixed-use น่าจะมี Backlog เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ผู้รับเหมารายใหญ่มีโอกาสรับงานก่อสร้างภาคเอกชนในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชยกรรม และโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัว สำหรับรายได้ของกลุ่มรายเล็กมีทิศทางชะลอตัว เนื่องจากงานก่อสร้างโครงการขนาดเล็กมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า ประกอบกับข้อจำกัดด้านการบริหารจัดการต้นทุน และการขาดแคลนแรงงาน อาจส่งผลให้ผู้รับเหมากลุ่มนี้ยังมีความเสี่ยงด้านผลประกอบการและปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน
ข้อมูลพื้นฐาน
ในช่วงปี 2555-2564 มูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมมีสัดส่วนเฉลี่ย 8.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) (ภาพที่ 1) ส่วนใหญ่เป็นงานก่อสร้างในประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะผู้ว่าจ้าง ได้แก่ งานภาครัฐและเอกชน โดยมีสัดส่วนของมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 59:41 ในปี 2564 (ภาพที่ 2)
งานก่อสร้างภาครัฐ: ส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน คิดเป็นสัดส่วน 82% ของมูลค่าก่อสร้างภาครัฐทั้งหมด ที่เหลือเป็นโครงการก่อสร้างอาคารของหน่วยงานรัฐ (16%) และที่พักของข้าราชการ (2%) ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่มักได้เปรียบในการรับงานภาครัฐ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เนื่องจากมีทั้งประสบการณ์ ความชำนาญเฉพาะด้าน ศักยภาพทางการเงิน และการพัฒนาเทคนิคและเทคโนโลยีในงานก่อสร้างมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้รับเหมา SMEs จะมีโอกาสรับงานภาครัฐในลักษณะของผู้รับเหมาช่วง (Sub-contractors)
งานก่อสร้างภาคเอกชน: กระจุกตัวในงานก่อสร้างที่อยู่อาศัย มีสัดส่วนคิดเป็น 52% ของมูลค่าก่อสร้างภาคเอกชนทั้งหมด ที่เหลือเป็นงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม (20%) และอื่นๆ (28%) เช่น โรงแรม และโรงพยาบาล (ข้อมูลปี 2563 โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ทิศทางงานก่อสร้างภาคเอกชนขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นในการลงทุน เสถียรภาพการเมือง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ
ที่ผ่านมา ผู้รับเหมาของไทยยังขยายฐานลูกค้าออกไปรับงานต่างประเทศ (ส่วนมากเป็นผู้รับเหมารายใหญ่) โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม (CLMV) เนื่องจากประเทศเหล่านี้อยู่ในช่วงของการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น โครงข่ายถนน รถไฟ โรงไฟฟ้า รวมถึงงานก่อสร้าง ซ่อมแซม/ตกแต่ง อาคาร และที่อยู่อาศัย
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในไทยมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 100,000 ราย (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ปี 2563) ผู้ประกอบการรายใหญ่มีจำนวนเพียง 691 ราย (หรือสัดส่วนเพียง 0.7% ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมด) อย่างไรก็ตาม รายได้ของผู้ประกอบการขนาดใหญ่มีสัดส่วนสูงถึงประมาณ 82% ขนาดกลาง 14% และขนาดเล็ก 4% ทั้งนี้ ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีรายได้มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.อิตาเลียนไทย ดิเวลอปเมนต์ บมจ. ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น และ บมจ.ช.การช่าง มีส่วนแบ่งตลาดรวมกัน 17% ของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ และครองส่วนแบ่งตลาดมากถึง 67% ของ 10 บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ภาพที่ 3 ข้อมูลปี 2564)
ทั้งนี้ การประเมินภาวะธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง จะพิจารณา
1) ด้านตลาด: หมายถึงโอกาสการรับรู้รายได้ของผู้ประกอบการซึ่งส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ การเมือง แผนและความก้าวหน้าของการลงทุนในโครงการของภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงกฎระเบียบการลงทุนของแต่ละประเทศที่อาจเอื้อหรือเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ
2) ด้านต้นทุน: หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาวัสดุก่อสร้างและค่าจ้างแรงงาน (ปัจจุบันธุรกิจก่อสร้างไทยประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานทั้งด้านปริมาณและทักษะ ส่งผลให้ผลิตภาพแรงงานมักต่ำกว่าค่าจ้าง) ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ โดยโครงสร้างต้นทุนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ประกอบด้วย (1) ค่าวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ เหล็ก คอนกรีต ปูนซีเมนต์ และอื่นๆ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของต้นทุนรวม (2) ค่าจ้างแรงงาน 20% และ (3) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 20%[2] (ภาพที่ 4)
สถานการณ์ที่ผ่านมา
ปี 2564 ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเติบโตต่อเนื่อง พิจารณาจากมูลค่าการลงทุนภาคก่อสร้างโดยรวมที่ขยายตัว 4.1% YoY คิดเป็นมูลค่า 1,364.8 พันล้านบาท (ภาพที่ 5) ปัจจัยหนุนจากการลงทุนก่อสร้างภาครัฐ (สัดส่วน 59% ของมูลค่าการลงทุนก่อสร้างทั้งหมด) โดยเฉพาะการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ อาทิ โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 และโครงการต่อเนื่องอื่นๆ เช่น รถไฟฟ้าสายใหม่ 3 เส้นทาง ได้แก่ สายสีชมพู สีเหลือง และสีส้ม ขณะที่มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนโดยรวมยังไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนมากนัก จากภาวะก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยที่ยังหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ผลจากวิกฤต COVID-19 ทำให้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดมีความเข้มงวดขึ้น แม้ว่าการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยจะเริ่มขยายตัวบ้าง โดยเฉพาะโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม
งานก่อสร้างภาครัฐ มีมูลค่า 804.5 พันล้านบาท ขยายตัว 6.4% (ภาพที่ 6) ปัจจัยสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากการลงทุนก่อสร้างอย่างต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
-
งานก่อสร้างด้านโครงสร้างพื้นฐาน (สัดส่วน 81% ของมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐทั้งหมด) มูลค่าการลงทุนก่อสร้างขยายตัว 5.8% โครงการขับเคลื่อนหลักในช่วงปีที่ผ่านมา ได้แก่ (1) โครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ 3 เส้นทาง ประกอบด้วย (i) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีความคืบหน้างานก่อสร้างโดยรวม 89.5% (ii) สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง คืบหน้า 88.7% และ (iii) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี คืบหน้า 83.9% (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2564) ทั้งนี้ รถไฟฟ้าทั้ง 3 สายมีแผนจะเปิดบริการภายในปี 2565 (2) โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรม มาบตาพุด เฟส 3 ในพื้นที่ EEC (เริ่มก่อสร้างเมื่อกรกฎาคม 2564)
-
งานก่อสร้างประเภทอื่นๆ ได้แก่ การก่อสร้างอาคารสำนักงานของหน่วยงานภาครัฐ (สัดส่วน 17%) และอาคารที่อยู่อาศัย (สัดส่วน 2%) มูลค่าการลงทุนก่อสร้างขยายตัว 8.4% และ 14.3% ตามลำดับ จากการเร่งตัวของหลายโครงการให้ทันเป้าหมายการส่งมอบตามสัญญา เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่หดตัวจากความล่าช้าของบางโครงการในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่วนใหญ่เป็นโครงการก่อสร้างของกลุ่มผู้รับเหมาขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งหลายรายประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินและขาดแคลนแรงงานอยู่ก่อนแล้ว
งานก่อสร้างภาคเอกชน มีมูลค่า 560.3 พันล้านบาท ขยายตัวเพียง 0.9% (ภาพที่ 7) ผลจากการหดตัวของการก่อสร้างที่อยู่อาศัย
-
งานก่อสร้างโครงการที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย การก่อสร้างหมวดอาคารเพื่อการพาณิชย์ การก่อสร้างในหมวดการบริการและขนส่ง และการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม โดยมูลค่าการลงทุนก่อสร้างเพิ่มขึ้น 3.8% ส่วนหนึ่งเป็นแรงหนุนจากขยายตัวของการลงทุนก่อสร้างโรงงาน และอาคารสำนักงานในนิคมอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ EEC สำหรับรองรับการผลิตเพื่อส่งออกที่ยังมีทิศทางขยายตัวต่อเนื่อง
-
ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างในปี 2564 เพิ่มขึ้น 8.0% จากที่หดตัว 1.8% ในปี 2563 (ภาพที่ 9) จากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาฯ เกือบทุกประเภท โดยเฉพาะสินค้าหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก (สัดส่วน 23% ของมูลค่าต้นทุนวัสดุก่อสร้างทั้งหมด) ราคาเพิ่มขึ้น 33.9% มากที่สุดเมื่อเทียบกับราคาประเภทอื่น ผลจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบนำเข้าที่ใช้ในการผลิต อาทิ เศษเหล็ก (Scrap) และเหล็กแท่งกลม (Billet) ตามทิศทางของราคาเหล็กในตลาดโลกจากผลของการลดลงของอุปทานจากจีน ขณะที่ปูนซีเมนต์ (สัดส่วน 13%) ราคาปรับลดลง 1.1% ผลจากการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนที่รอการฟื้นตัว (ปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ในการก่อสร้างภาคเอกชนคิดเป็นสัดส่วน 60%)
ปี 2564 รายได้ของผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (10 รายแรกที่มีรายได้สูงสุด[3]) ลดลง 6.6% โดยอัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin) ปรับลดลงมาอยู่ที่ 0.7% จาก 1.5% ผลกระทบจากการชะลอการพัฒนาโครงการใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และการที่ทางการสั่งปิดไซต์งานก่อสร้างชั่วคราว เพื่อควบคุมการระบาดของ COVID-19 ทำให้โครงการก่อสร้างบางโครงการต้องล่าช้าออกไป (ภาพที่ 10)
สำหรับในช่วงไตรมาสแรก ปี 2565 ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหดตัวจากผลกระทบด้านต้นทุนที่ปรับสูงขึ้นมาก จากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่เริ่มต้นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ทำให้อุปทานน้ำมันและวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะเหล็กส่วนหนึ่งหายไปจากตลาด เนื่องจากรัสเซียส่งออกน้ำมันมากเป็นอันดับ 2 ของโลก (2020) ขณะเดียวกันทั้งรัสเซียและยูเครนส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กไปทั่วโลกรวมกัน 12% ของปริมาณการส่งออกเหล็กทั้งหมดของทั้งโลก (ประมาณ 47 ล้านตัน) ธุรกิจก่อสร้างของไทยจึงเผชิญกับราคาวัสดุก่อสร้างและต้นทุนค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยช่วงไตรมาส 1/2565 ราคาเหล็กซึ่งเป็นวัสดุก่อสร้างหลักปรับเพิ่มขึ้นในอัตราสูง (เหล็กเส้นกลม (Rebar) 27,446 บาท/ตัน (+25.3% YoY) เหล็กตัวซี (Channel) 36,046 บาท/ตัน (+37.5% YoY)) ขณะที่ดัชนีราคาคอนกรีตและปูนซีเมนต์ปรับเพิ่มขึ้น 5.7% และ 4.8% ตามลำดับ (เหล็ก คอนกรีต และปูนซีเมนต์ มีสัดส่วน 23%, 16% และ 13% ในโครงสร้างต้นทุนรวมของธุรกิจก่อสร้าง ตามลำดับ) จากแรงกดดันด้านต้นทุนข้างต้น ทำให้บางโครงการประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน ซ้ำเติมปัญหาขาดแคลนแรงงานจากการระบาดของ COVID-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย บางโครงการจึงต้องชะลอการลงทุนก่อสร้างออกไปก่อน ทำให้มูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมในช่วงไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 3.4 แสนล้านบาท ลดลง 3.7% YoY โดยการลงทุนก่อสร้างภาครัฐมีมูลค่า 2.1 แสนล้านบาท ภาคเอกชน 1.3 แสนล้านบาท ลดลง 2.1% YoY และ 6.1% YoY ตามลำดับ
แนวโน้มอุตสาหกรรม
วิจัยกรุงศรีคาดว่าธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมีแนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่องในช่วงปี 2565-2567 ตามมูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมที่คาดว่าจะขยายตัว โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับEEC และโครงการขยายเส้นทางการคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะทางรางและถนน รวมถึงการลงทุนโครงการก่อสร้างภาคเอกชน ทั้งในส่วนที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ที่มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ปี 2565 ผู้รับเหมาจะยังคงเผชิญภาวะราคาน้ำมันและวัสดุก่อสร้างที่อยู่ในระดับสูงจากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งผู้รับเหมาต้องแบกรับภาระต้นทุน โดยผู้ประกอบการรายย่อยอาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินและทิ้งงาน ซึ่งปัจจุบันผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการภาครัฐยังไม่ได้รับเงินชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญา (ค่า K หรือ Escalation Factor) เป็นจำนวนมาก (ที่มา: สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย, ฐานเศรษฐกิจ 2 เม.ย.2565) ภาพรวมข้างต้น ทำให้คาดว่ามูลค่าการลงทุนก่อสร้างรวมปี 2565 จะขยายตัวได้ในอัตราไม่สูงนักที่ 3.0-3.5% ก่อนจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.5-5.5% ในปี 2566-2567 (ภาพที่ 11)
มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาครัฐ ในช่วงปี 2565-2567 คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 5.0-6.0% ต่อปี ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากการลงทุนในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ต่อเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วนฉบับล่าสุด พ.ศ. 2562 ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) (ภาพที่ 12)
-
โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ EEC ตามแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ระยะที่ 1 (2560-2564) คาดว่าจะเริ่มทยอยดำเนินการต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 ทั้งระบบรางและถนน อาทิ (1) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) โดยเฟสแรกจะเริ่มก่อสร้างในช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา (2) โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ส่วนแผนฯ ระยะที่ 2 (2565–2569) มีเป้าหมายมุ่งให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน การคมนาคม และโลจิสติกส์ของภูมิภาค รวมทั้งรองรับการเติบโตของ EEC ในอนาคต โดยเบื้องต้นกำหนดไว้ 131 โครงการ วงเงินลงทุนรวม 386,565 ล้านบาท เป็นการลงทุนในระบบรางและขนส่งมวลชนมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 43% ของวงเงินลงทุนทั้งหมด (ภาพที่ 13)
มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชน มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัว โดยคาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 3.0-4.0% ต่อปี ในช่วงปี 2565-2567 ปัจจัยหนุนจาก
-
การก่อสร้างโรงงานและนิคมอุตสาหกรรมได้รับผลดีจากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการ EEC โดยผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมมีแผนลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมใหม่และพัฒนาที่ดินเพื่อขายและสร้างโรงงานอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการขยายตัวของการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายกลุ่ม S-Curve อาทิ นิคมอุตสาหกรรมหนองละลอก ใน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง คาดว่าจะใช้ระยะเวลาพัฒนาพื้นที่และเปิดให้บริการได้ภายใน 2 ปี นิคมอุตสาหกรรมเอเพ็กซ์กรีน อินดัสเตรียล เอสเตท อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา (รูปแบบร่วมดำเนินงานกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ กนอ.) คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2566
-
โครงการก่อสร้างอาคารเพื่อการพาณิชย์ แบ่งเป็น (1) การก่อสร้างพื้นที่ค้าปลีก (Retail space) มีแนวโน้มขยายตัวตามแผนการลงทุนของผู้พัฒนาโครงการ (ภาพที่ 15) เพื่อรองรับการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยว และ (2) การก่อสร้างอาคารสำนักงาน (Office building) คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของการลงทุนในภาคธุรกิจ ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างอาคารเพื่อการพาณิชย์ในปัจจุบันจะมีลักษณะเป็นโครงการ Mixed-use รองรับรูปแบบการใช้ชีวิตสมัยใหม่ของสังคมเมืองมากขึ้น โดยโครงการที่มีแผนลงทุนในช่วงปี 2565-2567 ทั้งที่อยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้างและกำลังจะเริ่มก่อสร้าง มีพื้นที่รวมกันประมาณ 1 ล้านตารางเมตร (ตารางที่ 5)
ราคาวัสดุก่อสร้างโดยรวม ในปี 2566-2567 คาดว่าจะปรับลดลงเล็กน้อยจากปี 2565 แต่จะยังทรงตัวในระดับสูง (ภาพที่ 16) ปัจจัยหลักจาก (1) การปรับขึ้นของราคาพลังงานที่มีผลต่อต้นทุนการผลิต และการขนส่ง อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนยังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งยังเอื้อให้ผู้รับเหมารายใหญ่มีอำนาจต่อรองด้านราคากับผู้ผลิต/ผู้ค้าวัสดุก่อสร้าง น่าจะทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มปรับขึ้นได้ในอัตราไม่สูงนัก (2) การเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบนำเข้าตามภาวะตลาดโลก อาทิ เศษเหล็ก (Scrap) และเหล็กแท่งกลม (Billet) ซึ่งมีผลให้ราคาเหล็กจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ตามทิศทางราคาตลาดโลก แม้ปัญหาอุปทานส่วนเกินในตลาดโลกจะคลี่คลายลงบ้าง จากการลดกำลังการผลิตเหล็กของจีน (3) การฟื้นตัวของภาคก่อสร้าง หนุนความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะปูนซีเมนต์และเหล็กก่อสร้าง และ (4) มาตรการภาครัฐที่สนับสนุนการใช้สินค้า (วัสดุก่อสร้าง) ที่ผลิตในประเทศผ่านมาตรการ “Made in Thailand”
แนวทางการปรับตัวของผู้รับเหมา
การทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในตลาดต่างประเทศ ผู้รับเหมาของไทยมีโอกาสรับงานเพิ่มขึ้นในประเทศกลุ่ม CLMV ซึ่งมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanization) ซึ่งรวมถึงโรงงานอุตสาหกรรม อาคารสำนักงาน และที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งกำลังมีการขยายการลงทุนทั้งโครงสร้างพื้นฐานและนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมาก รองรับกระแสการลงทุนทางตรง (Foreign Direct Investment: FDI) ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (ภาพที่ 18) โดยเฉพาะจากประเทศจีน อย่างไรก็ตาม โอกาสส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่แค่เพียงผู้รับเหมารายใหญ่ เนื่องจากมีความพร้อมด้านเงินทุน เทคโนโลยี และช่องทางการลงทุนที่มาจากสายสัมพันธ์ทางธุรกิจ (Business connection) กับนักลงทุนท้องถิ่น
ปัจจัยเสี่ยงของการเข้าไปรับงานก่อสร้างในประเทศ CLMV ได้แก่ ด้านกฎระเบียบในการว่าจ้างที่อาจไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เงื่อนไขสัญญารับเหมาที่มีความไม่แน่นอน ความไม่มั่นคงด้านเสถียรภาพทางการเมืองในบางประเทศ รวมถึงการแข่งขันกับผู้รับเหมาต่างชาติรายอื่นๆ ซึ่งแนวทางในการลดความเสี่ยงข้างต้นผู้รับเหมาไทยควรหาพันธมิตรทางธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานใน CLMV อาทิ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์/ผู้รับเหมาท้องถิ่น รวมถึงบริษัทจัดหาแรงงานท้องถิ่น เพื่อให้มีช่องทางในการรับงานได้ต่อเนื่อง
ปัจจัยท้าทายที่อาจจำกัดการเติบโตของธุรกิจก่อสร้างและรายได้ของผู้ประกอบการรับเหมาในช่วงปี 2565-2567 ที่สำคัญ ได้แก่
-
ภาวะราคาน้ำมันและวัสดุก่อสร้างที่ยังอยู่ในระดับสูงผลจากสงครามยูเครน ซึ่งผู้รับเหมาต้องแบกรับภาระต้นทุน
-
สต็อกที่อยู่อาศัยยังทรงตัวในระดับสูง (ภาพที่ 19) ขณะเดียวกันอุปทานใหม่ยังเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าการลงทุนก่อสร้างที่อยู่อาศัยโครงการใหม่ๆ ของภาคเอกชนยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ
[1] ค่า K คือ ดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของค่างาน ณ ระยะเวลาที่ผู้รับเหมาก่อสร้างเปิดซองประกวดราคา เปรียบเทียบกับระยะเวลาที่ส่งงานในแต่ละงวด เพื่อใช้สำหรับคำนวณเงินชดเชยค่าก่อสร้างให้กับผู้รับเหมา เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้างในช่วงระหว่างการดำเนินโครงการก่อสร้าง (ที่มา: สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์)
[2] คำนวณจากโครงสร้างต้นทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่ และตารางปัจจัยการผลิต-ผลผลิต สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
[3] ได้แก่ 1) Christiani & Nielsen (Thai) PLC. 2) Power Line Engineering PLC. 3) Pre-Built PLC. 4) Syntec Construction PLC. 5) Unique Engineering And Construction PLC. 6) Nawarat Patanakarn PLC. 7) Ch. Karnchang PLC. 8) Sino-thai Engineering And Construction PLC. 9) Italian-Thai Development PLC. และ 10) Thai Polycons PLC.