ฉันจะลดน้ำหนัก
ฉันจะออมเงินให้มากขึ้น
ฉันจะฝึกภาษาที่สอง
ฉันจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
และ ฯลฯ
เมื่อใกล้ถึงช่วงเวลาของเทศกาลส่งท้ายปี หรือช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองเพื่อต้อนรับปีใหม่ หนึ่งสิ่งที่เราน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก็คือเรื่องของการ “ตั้งเป้าหมาย” เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองในปีใหม่ หรือที่เรียกกันเท่ ๆ ว่า New Year's resolution แต่รู้อะไรไหมครับ จากข้อมูลผลการสำรวจของ
statisticbrain.com พบว่ามีเพียง 9.2% ที่สามารถบรรลุเป้าหมายและหลุดพ้นจากนิสัยที่ไม่ดีของพวกเขาได้ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคนอีก 90.8% ล่ะ ทำไมคนส่วนใหญ่ (หลายครั้งก็รวมถึงผมเองด้วย) ถึงไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่พวกเขาตั้งไว้ได้
ในบทความนี้ผมจะมาพูดถึงเหตุผล จากมุมมองส่วนตัวของผม ที่ผมประสบพบเจอมาและจากการสังเกตคนรอบข้าง ๆ ครับ
1. ไม่สนุกกับมัน
เราน่าจะเคยเห็นใครหลายคนที่ต้องอดทนกินอาหารที่ไม่อร่อย หรือฝืนทนตื่นไปวิ่ง ไปออกกำลัง เพียงเพราะเขาตั้งเป้ากับตัวเองไว้ว่าจะลดน้ำหนัก แน่นอนว่าการทำสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องดีต่อสุขภาพของเรา แต่ถ้าเราไม่รู้สึกสนุกกับการทำสิ่งเหล่านี้เลย (ย้ำว่า... เลย) ในที่สุดวันหนึ่งเราก็จะทำมันต่อไปไม่ได้ แล้วเราจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไงล่ะ? อาจจะฟังกำปั้นทุบดินสักหน่อยนะครับ คือ เราก็ต้องทำให้มันสนุกยังไงล่ะครับ
สมมุติว่าคุณกำลังเบื่อการวิ่งในช่วงแรก ๆ (ส่วนใหญ่มักจะเป็นในช่วงแรกๆ หลังจากนั้นเมื่อเราทำจนติดเป็นนิสัยเราก็จะเริ่มชิน) คุณอาจจะลองเข้าไปในกลุ่มที่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องกลุ่ม เพื่อเริ่มหาเพื่อนที่ทำกิจกรรมเดียวกัน ไปวิ่งสนามเดียวกัน หรือชวนเพื่อนรอบตัวที่วิ่งอยู่แล้วไปวิ่งด้วยกันก็ได้ หรือลองสมัครมินิมาราธอน เพื่อสร้างความท้าทายให้กับการวิ่งของตัวเองดูก็ได้เช่นกัน
อย่าลืมนะครับ ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นอะไร จงหาทางทำให้ระหว่างทางนั้นสนุกและมีความสุขด้วย
2. หักโหมมากเกินไป
หลายครั้งบางคนพอตั้งเป้าว่าจะเก็บหรือออมเงินให้ได้มากขึ้น ก็รู้สึกฮึกเหิมอยากที่จะเริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าว่า “ฉันจะเก็บเงินให้ได้ 40% ของรายได้ต่อเดือน” มันก็ฟังดูดีใช่ไหมครับ แต่เชื่อไหมครับว่าการหักดิบแบบนี้ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำเป้าหมายให้สำเร็จได้เพราะถึงจุดหนึ่ง ที่สุดแล้วเราก็จะเกิดอาการที่เรียกว่า “ตบะแตก”
วิธีแก้คือ ให้เราลองเริ่มจากน้อย ๆ ดูก่อนครับ เพราะสิ่งสำคัญในการทำเป้าหมายใหญ่ให้สำเร็จไม่ใช่การหักโหมทำรวดเดียว แต่เป็นการทำเรื่อย ๆ ทำอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องครับ
3. ไม่มีการติดตามความคืบหน้า
การได้เห็นความคืบหน้าของสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ว่า สิ่งที่เราทำนั้นมันมีการขยับเข้าใกล้เป้าหมายใหญ่หรือไม่ นับได้ว่าเป็นกำลังใจที่ดีมากสำหรับคนที่กำลังจะทำอะไรบางอย่าง เพราะทุกครั้งที่เราเห็นว่าสิ่งที่เราทำมีความคืบหน้า เราก็มีกำลังใจอยากที่จะทำต่อ และเราก็รู้ตัวเองด้วยว่าตอนนี้เราเดินทางมาถึงจุดไหนแล้ว และจะไปต่ออย่างไร
ดั้งนั้นจงอย่าลืมที่จะติดตามและตรวจสอบความคืบหน้าของสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่
4. รู้ว่าเป้าหมายคืออะไร แต่ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร
หลายครั้งเมื่อเราตั้งเป้าหมายสิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะลืมคิดกันไปก็คือ “เรากำลังจะทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร” การที่เราไม่รู้ว่าเป้าหมายของเรานั้นจะทำไปเพื่ออะไร ความหมายจริง ๆ ของสิ่งที่เรากำลังจะทำนั้นคืออะไร จะทำให้เกิดแรงเสียดทานมากกว่าคนที่รู้ความหมายหรือความสำคัญของสาเหตุที่ต้องทำ
การตั้งเป้าหมายที่ใหญ่และท้าทายเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าลืมที่จะให้ความสำคัญกับคำถามที่เรียบง่ายว่า “เรากำลังจะทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร หรือความสำคัญของสิ่งนี้คืออะไร” เพราะคำตอบของคำถามที่เรียบง่ายนี้จะเป็นตัวหล่อเลี้ยงที่สำคัญที่ทำให้เราสามารถก้าวเดินไปจนถึงจุดหมายของเราได้
5. ไม่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี
ถ้าเราจะงดเหล้าแต่เราไปปาร์ตี้ทุกคืน หรือถ้าเราจะลดน้ำหนักแต่เราก็มักจะไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ชวนกันไปบุฟเฟ่ต์กันอยู่เรื่อย ๆ ถ้าเราหักห้ามใจไม่ให้กินได้ก็ถือว่าแล้วไป แต่ต้องยอมรับล่ะครับ ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ใช่แบบนั้น ดังนั้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสิ่งที่เรากำลังทำเป็นเรื่องที่ดี
เช่น ถ้าคุณต้องการลดน้ำอัดลมหรือขนม จงอย่าซื้อของเหล่านี้ไปติดไว้ในตู้เย็นครับ
และนี่คือ 5 ข้อที่ผมคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่ทำเป้าหมายของปีไม่สำเร็จ
แต่ไม่ว่าเป้าหมายที่คุณกำลังจะทำนั้นจะสำคัญหรือยิ่งใหญ่ขนาดไหน สิ่งสำคัญอีกข้อคือ
อย่าลืมที่จะให้ความสำคัญกับระหว่างทางบ้างนะครับ เพราะหลายครั้งบทเรียนหรือคุณค่าดี ๆ ก็มักจะเกิดขึ้นระหว่างที่เรากำลังเดินทางเนี่ยล่ะครับ