จูนเองเป็นคนหนึ่งที่ต้องวิ่งพร้อมกับฟังอะไรไปด้วยเสมอ ไม่ว่าจะวิ่งในสวนหน้าบ้าน หรือวิ่งบนลู่ ก็จะต้องมีเพลงจังหวะสนุก ๆ ให้ตัวเองมีกำลังใจวิ่งต่อให้จบ ซึ่งนักวิ่งหลาย ๆ คนก็คงเป็นเหมือนกัน มีรายงานจาก Runner’s World เมื่อปี 2016 ที่ระบุว่า 61% ของนักวิ่งนั้นฟังอะไรไปด้วยพร้อมกับการวิ่ง... แต่จูนเชื่อว่าบางทีความเหนื่อยจากการวิ่งก็อาจจะสะสมมากขึ้นจนกลบ
เสียงเพลงไปหมดเหมือนกัน
เราควรฟังอะไรตอนวิ่งเพื่อให้การวิ่งน่าเบื่อน้อยลงได้บ้าง?
มีบทสัมภาษณ์ของ Costas Karageorghis ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาการกีฬาและการ
ออกกำลังกายที่มหาวิทยาลัยบรูเนล ลอนดอน (Brunel University London) ที่ศึกษาความเกี่ยวข้องทางจิตวิทยา และสรีรวิทยาของดนตรีในกีฬามานานถึง 25 ปี
และเขาระบุว่ากลไกของเพลงไม่ว่าจะเป็น จังหวะ เสียงร้อง เนื้อเพลง หรือเนื้อหาที่เพลงนั้น ๆ สอดแทรกไว้ ส่งผลกับสมองของเราขณะฟังทั้งหมด ทำให้เสียงเพลงทำหน้าที่เป็นเหมือนสูตรโกงให้การออกกำลังกายนั้นง่ายขึ้น
สิ่งที่เรามักจะเคยได้ยินเมื่อพูดถึงการฟังเพลงตอนวิ่ง คือ ‘BPM’ หรือ Beats per minute ยิ่งเพลงที่มีจังหวะ (เทมโป) เร็ว ก็จะมี BPM ที่สูง (ระบุว่าโน้ตแต่ละตัวจะถูกเล่นด้วยจำนวนกี่ครั้งต่อนาที) ก็จะช่วยเพิ่มความตื่นตัวให้กับผู้วิ่งได้ โดยเพลงที่มีค่า BPM อยู่ที่ 120-130 ขึ้นไป จะช่วยเพิ่มการตื่นตัวในระดับสูง ในขณะที่เพลงที่มีค่า BPM ประมาณ 70-90 จะเพิ่มการตื่นตัวในระดับต่ำ ซึ่งยิ่งเราตื่นตัวมาก ก็จะยิ่งมีแรงฮึกเหิมในการวิ่งต่อ แต่ถึงเพลงจะเร็วสุด ๆ จนเราวิ่งตามให้ตรงกับจังหวะนั้น ๆ ไม่ทัน แต่มีรายงานที่บอกว่าผู้วิ่งก็จะรู้สึกว่าต้องวิ่งให้เร็วขึ้นอยู่ดี ถึงจะไม่เร็วเท่าจังหวะของเพลง สาเหตุนี้จึงเป็นเหตุผลที่นักกีฬา หรือคนออกกำลังกายส่วนใหญ่เลือกฟังสไตล์เพลงที่ BPM สูง ๆ อย่าง Techno (130-140 BPM) ในขณะ
ออกกำลังกาย
ตัวอย่างเพลงที่มีค่า BPM อยู่ที่ประมาณ 120 BPM และเหมาะสำหรับการวิ่ง เช่น Bad Romance - Lady Gaga, Teenage Dream - Katy Perry, Tik Tok - Ke$ha, I Wanna Dance With Somebody - Whitney Houston, Girls Just Want to Have Fun - Cyndi Lauper และ Blurred Lines (feat. T.I. & Pharrell) - Robin Thicke เป็นต้น
เพลงยังมีผลในการเพิ่มความรู้สึกด้านบวก อย่างความตื่นเต้น ความสนุก ความสุข ระหว่างการวิ่ง ซึ่งช่วยลดทอนความรู้สึกด้านลบอย่างความเหนื่อย หรือความตึงเครียดออกไปได้ด้วย
ความเจ๋งอีกอย่างของการฟังเพลงจังหวะเร็ว ๆ ระหว่างวิ่ง คือช่วยลดทอนการออกแรง และเพิ่มความรู้สึก ‘in the zone’ ของผู้วิ่งได้ เพราะแรงกระตุ้นจากเพลงจังหวะเร็วนั้น ๆ สามารถปิดกั้นสิ่งเร้าภายใน (internal stimuli) อย่างความรู้สึกเหนื่อยที่ส่งต่อไปยังสมองได้ พอผู้วิ่งรู้สึกเหนื่อยน้อยลง ก็เพิ่มความรู้สึกที่สามารถวิ่งได้เร็วขึ้น และนานขึ้นได้
อย่างไรก็ตามก็มีผลการศึกษาจาก Journal of Human Sport and Exercise (Lam, Middleton, & Phillips, 2021) ที่โฟกัสไปที่ความเชื่อมโยงของการฟังเพลงที่มีผลต่อความสามารถในการวิ่งและประสิทธิภาพในการวิ่งเมื่อเกิดความเหนื่อยล้าทางจิตใจ ซึ่งระบุว่าเพลงที่ฟังเหล่านั้นก็ต้องเป็นเพลงที่ผู้วิ่งชอบด้วย ถึงจะดี (แม้เป็นเพลงที่มีค่า BPM สูง แต่ถ้าผู้วิ่งไม่ชอบเพลงนั้น หรือไม่ได้รู้จักเพลงนั้น ก็อาจจะทำให้การวิ่งน่าเบื่อได้เหมือนกัน)
ในการศึกษาครั้งนี้ผู้ที่เข้าร่วมการทดลองจะต้องทำแบบทดสอบที่ถูกออกแบบให้พวกเขาเข้าสู่ภาวะเหนื่อยล้าทางจิตใจเสียก่อน แล้วจึงทดสอบผ่านการวิ่ง 5k บนลู่วิ่ง โดยผู้วิ่งที่ได้ฟังเพลงที่ตัวเองเลือกระหว่างการวิ่งมีประสิทธิภาพในการวิ่งที่ดีกว่า และทนทานกว่า เพราะฉะนั้นการเลือกเพลงที่จะฟังตอนวิ่ง ‘ด้วยตัวเอง’ จึงเป็นกลยุทธ์ที่ดีเพื่อเพิ่มความทนทานในการวิ่ง แม้ว่าในสภาวะที่ผู้วิ่งเกิดความเหนื่อยล้าทางจิตใจแล้วก็ตาม
เพราะฉะนั้นหากจะจัดทำ playlist เพลงไว้ฟังตอนวิ่ง ก็ควรเป็นเพลงเทมโปเร็วที่มี BPM สูง และเป็นเพลงที่เราชอบอยู่แล้วนั่นเอง
SIDE NOTE: ส่วนเพลงที่จูนแนะนำว่าเวิร์ค และฟังตอนวิ่งจริงๆ มีเพลงอย่าง Levitating - Dua Lipa, ME! - Taylor Swift, Survivor - Destiny’s Child, และ Don’t Stop Me Now - Queen