ในเมื่อวันนี้เราเดินทางไปญี่ปุ่นไม่ได้ วันนี้ผมจะพาเพื่อน ๆ ไปเยี่ยมร้านค้าปลีกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในอุเอะโนะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ร้านนี้มีชื่อว่า TAKEYA คนไทยที่ชอบช้อปปิ้งจะรู้จักในชื่อว่า ”ตึกม่วง” ที่นี่มีของสุดฮิตให้เลือกมากมาย และขายในราคาย่อยเยา ถูกอกถูกใจคนไทย นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมถึงคนญี่ปุ่นมาก ๆ แต่วันนี้ผมไม่ได้พาเพื่อน ๆ มาช้อปปิ้งด้วยกันนะครับ ผมอยากพาเพื่อน ๆ มาดูอีกมุมนึงที่น่าสนใจของร้านแห่งนี้
ในช่วงการแพร่ระบาดของ
โควิด-19 ทั่วทั้งโลก อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตกต่ำ นักท่องเที่ยวเหือดหาย แน่นอนว่าร้านค้าแห่งนี้ก็ได้รับผลกระทบหนักมาก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่คือลูกค้าชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในญี่ปุ่น แต่ทว่า..เหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้จิตวิญญาณการให้บริการลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป พนักงานชายคนหนึ่งที่ดูแลและให้บริการลูกค้าในหมวดสินค้าตกแต่งบ้าน ผุดไอเดียว่า “เวลาใส่หน้ากากอนามัย แล้วน่าเสียดายมากที่ลูกค้าไม่ได้เห็นรอยยิ้มของพวกเราขณะให้บริการอยู่ เพราะหน้ากากมันมาบดบังรอยยิ้ม” จึงครุ่นคิดว่า
“จะมีวิธีไหนที่จะช่วยส่งต่อรอยยิ้มที่อยู่ข้างในหน้ากาก ไปสู่ลูกค้าได้บ้างนะ”
เขาจึงรวบรวมพนักงานรุ่นใหม่หลายคน แล้วหารือกันเกี่ยวกับประเด็นนี้ ตอนแรกก็ตกลงกันว่าจะลองเอาปากกาเมจิกสีมาเขียนรูปปากลงไปบนหน้ากากเลยนะ แต่ก็ล้มเลิกไปเพราะรู้สึกว่า มันไม่สะอาด จะกลายเป็นหน้ากาก “ไม่อนามัย” แทน คิดไปคิดมาก็ปิ๊งไอเดียว่า ลองใช้บริการปริ้นรูปภาพลงหน้ากากผ้าดู โดยถ่ายรูปรอยยิ้มสวย ๆ ของพนักงานชาย และพนักงานหญิง อย่างละ 1 รูป เอาไปจ้างร้านข้างนอกปริ้น แล้วลองเอามาเทียบใส่ดูกับหน้าของพนักงานทุกคน ตอนแรกพวกเขาเองที่เป็นฝ่ายออกไอเดียก็รู้สึกแปลก ๆ นะ แต่เมื่อเอาเรื่องนี้ไปนำเสนอผู้ใหญ่ในบริษัท ผู้ใหญ่เห็นดีเห็นงามด้วยพร้อมอนุมัติทันที จึงเกิดมาเป็นแคมเปญให้พนักงานทั้งหมด 450 คน “ใส่หน้ากากรอยยิ้ม” ทั้งคนที่มีหน้าที่ทำงานในบริษัท และคนที่อยู่หน้าร้านให้บริการลูกค้า จึงเกิดมาเป็นบรรยากาศที่เห็นแบบในภาพนี้ครับ
เมื่อร้าน TAKEYA เริ่มต้นแคมเปญนี้ได้ไม่นานก็เป็นที่กล่าวขานอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ประเทศญี่ปุ่น ผมแอบไปสังเกตคอมเมนต์ของชาวเน็ตในโลกทวิตเตอร์บอกว่า “ตอนเห็นครั้งแรกที่ร้าน รู้สึกตกใจมาก” “อยากไปร้านนี้บ้าง” “สุดยอดไปเลย” ช่วงแรกที่พนักงานเริ่มลองใส่ “หน้ากากรอยยิ้ม” นี้พนักงานเองก็กลัวว่า ลูกค้าจะประหม่า กลัวลูกค้าไม่กล้าเดินเข้ามาคุยเหมือนกันนะ แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ ลูกค้าหลายคนเอ่ยปากชมพวกเขา พร้อมบอกว่า เป็นแนวคิดที่เจ๋งมาก บางคนถึงกับเดินเข้ามาขอถ่ายรูปด้วยก็มี เป็นการสร้างบรรยากาศความสุขให้เกิดขึ้นภายในสถานการณ์ตึงเครียดที่ทุกคนกำลังหวาดวิตกกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดีมาก ๆ เลยครับ
“หน้ากากรอยยิ้ม” ที่เห็นอยู่นี้ มีทั้งหมด 2 แบบเท่านั้น แบบหนึ่งสำหรับผู้หญิง อีกแบบหนึ่งสำหรับผู้ชาย เป็นรอยยิ้มของพนักงานสองคนในบริษัท เมื่อถามพนักงานชายผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มนี้ว่าคิดอย่างไรที่เห็นทุกคนมีรอยยิ้มแบบตัวเขาเอง เขาตอบว่า “ตอนเห็นเพื่อนร่วมงานใส่หน้ากากรอยยิ้มก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนะ แต่ครั้งแรกที่เห็นประธานบริษัทใส่หน้ากากรอยยิ้มที่เป็นรอยยิ้มของตัวเขาเองเดินเข้ามาในร้าน เขาเผลอหัวเราะออกมาเลย”
จะเห็นได้ว่าท่ามกลาง
ภาวะตึงเครียดที่มีอยู่ในปัจจุบัน ความคิดสร้างสรรค์เล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้คนเป็นจำนวนมากได้ ในเคสนี้ผมเชื่อว่านอกจากรอยยิ้มที่เห็นอยู่ภายนอกหน้ากากตามลวดลายที่ได้ปริ้นเอาไว้ใน Smile Mask ก็จะมีรอยยิ้มจริง ๆ ของพนักงานอยู่ภายใต้หน้ากากด้วย ที่สำคัญคือรอยยิ้มของลูกค้าที่เกิดขึ้นมาเพราะการทำสิ่งนี้ ในยามที่มีปัญหาให้ลองค้นหาทางออก ถ้าคิดคนเดียวไม่ออก ก็อาศัยเพื่อนฝูงให้ช่วยอีกแรงก็ได้ ขอเพียงอย่าท้อ ขอให้มีกำลังใจ และมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาอะไรบางอย่างจริง ๆ ถึงตอนนั้นเราก็จะเจอวิธีการแก้ไขปัญหาครับ หวังว่าเรื่องราว “หน้ากากรอยยิ้ม” ที่ตึกม่วงในประเทศญี่ปุ่นจะเป็นกำลังใจและไอเดียให้เพื่อนลองคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ให้เหมาะสมกับตัวเราเองนะครับ
จากตัวอย่างเหล่านี้ ก็พอจะแสดงให้เห็นว่าความเชื่อทางไสยศาสตร์แอบส่งผลในเชิงจิตวิทยาของเราอยู่เหมือนกัน และดูจะไม่ได้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติซะทีเดียว ถ้าเราเชื่อว่าเราจะโชคดี หรือได้ทำอะไรบางอย่างที่จะส่งผลให้เราโชคดี เช่น เดินเข้าห้องประชุมด้วยเท้าขวา ไหว้พระก่อนไปสอบ หรือแม้กระทั่งใส่เสื้อตรงตารางสีมงคล ก็เป็นไปได้ที่ความเชื่อเหล่านี้จะทำงานกับตัวเรา และส่งผลให้เรา “โชคดี” ขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้นะ
Reference :
1.หน้ากากรอยยิ้มท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 : THE MAINICHI NEWSPAPER
https://mainichi.jp
2. Account ทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการของร้าน TAKEYA ครั้งหนึ่งเคยประชาสัมพันธ์แคมเปญนี้
https://twitter.com