ในสมัยนี้เราทุกคนกำลังใช้ชีวิตอยู่ในยุคดิจิทัลที่
การทำงานและการใช้ชีวิตในแต่ละวันถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี หลายอาชีพจึงต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน เกิดเป็นไลฟ์สไตล์ในการทำงานใหม่ ๆ อีกด้วย บางตำแหน่งงานสามารถทำงานที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตก็ทำงานได้แล้ว ซึ่งเราเรียกกลุ่มอาชีพนี้ว่า Digital Nomad ไม่ว่าจะเป็น นักเขียน โปรแกรมเมอร์ นักออกแบบกราฟฟิก ที่ปรึกษา และงานอื่น ๆ ที่สามารถทำงานได้ทางออนไลน์
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ทำอาชีพนี้อยู่ น้องเพลินเพลิน จะพาไปดูว่า การใช้ชีวิตของคนที่ทำอาชีพนี้เป็นอย่างไรและแนวทางการออมเงินของคนกลุ่มนี้จะต้องทำอย่างไร
รู้ไหม ทำงานแบบ Digital Nomad มีดีอย่างไร?
รูปแบบการทำงานของ Digital Nomad นั้น มีความแตกต่างจากหลาย ๆ อาชีพ จึงเป็นวิธีการทำงานในฝันของคนหลาย ๆ คน ลองมาดูข้อดีและจุดเด่นของการทำงานแบบนี้กัน
1. ทำงานที่ไหนในโลกก็ได้
เราสามารถเปลี่ยนสถานที่ทำงานได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำงานที่บ้าน ร้านกาแฟ หรือออกเดินทางไปท่องเที่ยวพร้อม ๆ กับการทำงานในเวลาว่าง เมื่อเราทำงานเสร็จก็สามารถส่งงานผ่านระบบออนไลน์ ไม่มีข้อกำหนดว่าจะต้องเข้าออฟฟิศเหมือนงานประจำอื่น ๆ
2. มีเวลาในการใช้ชีวิตมากขึ้น
อาชีพส่วนใหญ่จะมีเวลาทำงานที่ถูกกำหนดไว้ โดยเราจะต้องเดินทางไปทำงานที่ออฟฟิศหรือสถานที่ทำงาน ในขณะที่คนทำงานแบบ Digital Nomad จะไม่ต้องรีบเร่งในการใช้ชีวิต มีเวลาหลังจากตื่นนอนที่สามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้ และไม่ต้องผจญภัยกับรถติดเพื่อไปทำงาน
3. ออกแบบชีวิตของตัวเองได้
การทำงานแบบ Digital Nomad จะถูกคาดหวังแค่เพียงความสำเร็จของงาน โดยมีการกำหนดให้ส่งงานตามระยะเวลาที่ได้ตกลงกันไว้เท่านั้น ดังนั้น Digital Nomad จึงสามารถออกแบบชีวิตของตัวเองให้พบกับ
ความสุขในการทำงานและการใช้ชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเวลางาน เวลาพักผ่อน เวลาท่องเที่ยว รวมไปถึงการให้เวลากับตัวเองในการออกกำลังกาย
4. ใช้ชีวิตได้อย่างยืดหยุ่น
เป็นอาชีพที่มีความยืดหยุ่นกับทุก ๆ เรื่อง สามารถเลือกได้ว่าจะรับงานมากแค่ไหน วันไหนจะหยุด วันไหนจะทำงาน จะแต่งตัวอย่างไรก็ได้ แต่งสบาย ๆ ในวันที่ชิล ๆ และแต่งตัวดี ๆ ในวันที่ต้องพบปะผู้คน
เมื่อ Digital Nomad ทำงานได้ทั่วโลก แล้วจะเก็บเงินยังไงดี
การทำงานแบบ Digital Nomad เปิดโอกาสให้ตัวเราสามารถเปลี่ยนสถานที่ทำงานไปได้เรื่อย ๆ รวมถึงยังสามารถใช้เวลาไปกับการท่องเที่ยวเพื่อหาประสบการณ์ได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น วันนี้เราอาจจะวางแผนเดินทางไปทำงานที่จังหวัดเชียงรายพร้อมจิบน้ำชา 3 คืน หลังจากนั้นก็เดินทางไปทำงานพร้อมกับนัดเพื่อนปาร์ตี้ตอนกลางคืนที่พัทยาอีก 2 คืน
การใช้ชีวิตอย่างอิสระและสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ อาจจะทำให้คนที่ทำงานแบบ Digital Nomad มีค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าใช้ชีวิต และไลฟ์สไตล์ ซึ่งส่งผลให้หลาย ๆ คนไม่มีเงินเก็บในชีวิต และอาจจะพบความเสี่ยงทางการเงินในอนาคตหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รวมถึงไม่ได้วางแผนเก็บเงินเอาไว้ใช้ในยามเกษียณ
5 ทริคออมเงินสไตล์ Digital Nomad เดินทางทั่วโลก ก็ยังมีเงินเหลือใช้ Tips by น้องเพลินเพลิน
หากคุณเป็นชาว Digital Nomad ที่ยังไม่มีเงินเก็บ แต่อยากจะเก็บเงินเพื่ออนาคตของตัวเองไปพร้อม ๆ กับเก็บเงินเพื่อการท่องเที่ยวในระหว่างทำงานด้วย น้องเพลินเพลินก็มีทริคการออมดี ๆ มาให้ทุกคนลองนำไปใช้ ดังนี้
1. กำหนดเป้าหมายการออมแต่ละประเภท
เมื่อเรามีรายได้เข้ามาในแต่ละเดือน เราจะต้องกำหนดเอาไว้เลยว่า จะต้องออมแต่ละเป้าหมายเป็นจำนวนเงินกี่เปอร์เซ็นต์ ตัวอย่างเช่น หากเรามีเงินเข้ามาในกระเป๋า 100% สามารถวางแผนได้ดังนี้
- 50% ออมไว้ใช้ในเดือนนั้น ๆ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง
- 20% นำไปออมเพื่อการท่องเที่ยว พร้อม ๆ กับทำงาน
- 10% นำไปออมเพื่อเป้าหมายเกษียณ
- 10% นำไปออมเพื่อซื้อของที่อยากได้
- 10% นำไปลงทุนในกองทุนรวมเพื่อสร้างความมั่งคั่ง
การแบ่งประเภทการออมลักษณะนี้จะทำให้เราสามารถวางแผนได้อย่างรอบด้าน รวมถึงเป้าหมายการออมเพื่อการท่องเที่ยวด้วย
หากต้องการเก็บเงินให้ได้ผล สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
Kept by Krungsri ซึ่งจะมีฟีเจอร์สั่งเก็บเงินแบบประจำ ทำให้เราสามารถกำหนดจำนวนเงินที่เราจะออมในแต่ละเดือนหรือแต่ละสัปดาห์ได้ ทำให้เราเก็บเงินได้อย่างแน่นอน
2. สร้างแผนในการออมก่อนเดินทางล่วงหน้าเสมอ
ก่อนที่เราจะเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เราควรกำหนดงบประมาณอย่างเหมาะสม รวมถึงวางแผนเก็บเงินล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือน ยกตัวอย่างเช่น หากเราต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวพร้อมทำงานที่ฮ่องกง ให้ประเมินค่าใช้จ่ายล่วงหน้าก่อนด้วยการสำรวจข้อมูลต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ต สมมติว่าเราจะต้องใช้งบประมาณจำนวน 36,000 บาท ก็สามารถวางแผนการออมเป็นเวลา 6 เดือน เดือนละ 6,000 บาท
3. ศึกษาข้อมูลก่อนการเดินทางท่องเที่ยว
จำไว้ว่าหากเราประหยัดไปได้ 100 บาท นั่นก็หมายความว่าเราจะมีเงินออมมากขึ้นอีก 100 บาท ดังนั้นการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ก่อนที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวจะทำให้เราวางแผนค่าใช้จ่ายล่วงหน้าได้ และรู้ว่าเราจะต้องทำอย่างไรให้สามารถใช้จ่ายได้ประหยัดที่สุด
4. มีวินัยในการออมในทุก ๆ เดือน
การสร้างวินัยในการออมเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จ อย่าลืมบอกกับตัวเองถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้และกำหนดวัน เวลา และจำนวนเงินที่ต้องการออมเสมอ และทำตามแผนจนถึงเป้าหมายที่วางไว้
5. ตรวจสอบค่าใช้จ่ายทุกครั้งหลังจากเดินทางท่องเที่ยว
ทุก ๆ การเดินทางเราควรจะจดบันทึกเอาไว้ว่าเราได้ใช้จ่ายไปกับเรื่องอะไรบ้าง และนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์เพื่อดูว่าอะไรเป็นค่าใช้จ่ายที่ควรลดในการเดินทางครั้งต่อไป แค่นี้ก็ทำให้เราสามารถไปเที่ยวได้อย่างสบาย ๆ แถมมีเงินเหลือกลับมาได้อีกด้วย
โดยสรุปแล้ว การทำงานแบบ Digital Nomad มีข้อดีหลายอย่างที่ทำให้เรามีชีวิตได้อย่างอิสระ สามารถเดินทางท่องเที่ยวและใช้ไลฟ์สไตล์ได้ตามที่ต้องการ อย่างไรก็ตามบางคนยังใช้ชีวิตท่องเที่ยวโดยไม่มีเงินเก็บและแผนรองรับในอนาคต ซึ่งทำให้ชีวิตมีความเสี่ยงมาก ดังนั้นชาว Digital Nomad จึงควรวางแผนการออมให้รอบคอบก่อนไปท่องเที่ยวเสมอ