หลายคนอาจจะเคยได้ยินกับคำว่า “ดอกเบี้ยทบต้น” กันมาแล้ว แต่ยังไม่ได้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และพลังมหาศาลอะไรมากมาย หรืออาจจะเคยลองคำนวณกันแบบง่าย ๆ ในระยะเวลาสั้น ๆ แล้วก็พบว่า ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าสนใจอะไรขนาดนั้น
แต่รู้หรือไม่ว่า พลังของดอกเบี้ยทบต้นมีประโยชน์มากมายมหาศาลขนาดไหน เพื่อให้เห็นภาพที่ตรงกันและเข้าใจกันมากขึ้น เรามาเริ่มต้นจากตัวอย่างเพื่อให้เห็นว่าดอกเบี้ยทบต้นคืออะไรกันเลย
นาย A กับ นาย B เริ่มต้นฝากเงินเท่ากันที่คนละ 10,000 บาท สมมติว่าธนาคารให้ดอกเบี้ยที่ 5% พอครบ 1 ปี ทั้งคู่ก็จะได้ดอกเบี้ยเท่ากับ 500 บาทเท่านั้น
นาย A ถอน 500 บาทนั้นออกมาใช้ตามปกติ แต่นาย B ไม่ถอนออกมา แต่กลับเอาเงิน 500 บาทนั้นฝากกลับเข้าไปในบัญชี
เวลาผ่านไปอีก 1 ปี เริ่มเข้าสู่ปีที่ 2..
ถ้ายังรู้สึกว่าไม่ค่อยเห็นผลอะไรเท่าไหร่ งั้นเรามาดูอีกตัวอย่างหนึ่งกันเลยดีกว่า อย่างที่เรารู้กันว่าเวลาที่เราลงทุนนั้น ผลสุดท้ายจะได้มากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับว่า
- เงินลงทุน มากหรือน้อยขนาดไหน
- ความสามารถในการลงทุนว่าสร้างผลตอบแทนได้มากน้อยขนาดไหน
- ระยะเวลาในการลงทุน ว่าลงทุนได้ยาวหรือสั้นขนาดไหน
สมมติว่าให้เรามี
เงินลงทุน 100,000 บาท ลงทุนได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี เป็นระยะเวลา 10 ปี ถ้าเราลงคำนวณตามหลักการแบบดอกเบี้ยทบต้น คือไม่มีการถอนเงินออกมาจากการลงทุนเลยเราจะมีเงินทั้งหมด 259,374 บาท
สมมติว่าเรามีพรวิเศษ ที่สามารถเลือกได้ว่าให้ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า คิดว่าระหว่าง
- เพิ่มเงินลงทุนจากเดิม 100,000 เป็น 200,000 บาท
- เพิ่มผลตอบแทนจากเดิม 10% เป็น 20%
- เพิ่มระยะการลงทุนได้จาก 10 ปี เป็น 20 ปี
คิดว่าเพิ่มปัจจัยไหนแล้วจะทำให้เงินเรามีมากที่สุด ?
คำตอบนั้นก็คือ เพิ่ม “ระยะเวลา” เป็น 20 ปีจะทำให้เรามีเงินมากที่สุด !!
เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่าการที่เราเพิ่มระยะเวลาเป็น 20 ปี จะช่วยทำให้เราใช้ประโยชน์จาก “ดอกเบี้ยทบต้น” ได้มากที่สุด เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมออมก่อน ถึงรวยกว่า
ลงทุนก่อนถึงสบายกว่า นั่นก็เพราะว่าเราสามารถใช้ประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้นได้มากนั่นเอง เราลองมาดูตัวอย่างเพื่อให้เห็นดอกเบี้ยทบต้นกันมากขึ้นไปอีกกันดีกว่า
สมมติอีกครั้ง ให้นาย A ออมเงิน ปีละ 120,000 บาทเป็นระยะเวลา 10 ปี แล้วหลังจากนั้นก็ปล่อยให้เงินโตไปอีก 10 ปี แต่ นาย B ออมน้อยกว่าเหลือปีละ 60,000 บาท แต่ออมยาว ๆ ไปเลย 20 ปี คิดว่าใครจะมีเงินมากกว่ากันเมื่อสิ้นสุดปีที่ 20
คำตอบก็คือ นาย A จะมีเงินมากกว่า ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะว่านาย A ใส่เงินเข้าไปมากกว่าในตอนแรกเมื่อเวลาผ่านไปก็เลยทำให้ได้เงินมากที่สุดเมื่อครบ 20 ปี
ทีนี้พอนาย B เห็นแบบนี้ก็เลยเปลี่ยนเป็นการออมเป็นค่อยไป เริ่มออมปีที่ 10 แต่ว่าเนื่องจากรู้ตัวเองว่าออมช้า เลยขอออมเป็น 2 เท่าของนาย A เลยก็คือ ปีละ 240,000 บาท
ต้องบอกเลยว่าสุดท้าย นาย A ก็ยังมีเงินมากกว่า นาย B อยู่ดี เพราะว่าพลังของดอกเบี้ยทบต้นที่ทำให้ผลตอบแทนมากกว่า ถึงแม้นาย B จะเพิ่มเงินออมเป็น 2 เท่าก็ตาม เราจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า เรื่องการลงทุนเราอาจจะไม่ต้องรอให้ตัวเองมีเงินถุงเงินถังแล้วค่อยลงทุน หรือว่ารอให้เราไปค้นพบวิธีการลงทุนสุดเจ๋งให้ได้ผลตอบแทนสูง ๆ แล้วค่อยเริ่มลงทุน แต่จริงๆ แล้วการลงทุนอยู่ที่ว่าเราเริ่มลงทุนก่อน เริ่มลงทุนให้ไวเพื่อให้ดอกเบี้ยทบต้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่างหากล่ะ
รู้กันหรือไม่ว่า ถ้าเราออมเงินเดือนละ 1,000 บาทก็สามารถทำให้เรามีเงินล้านได้เช่นกัน ถ้าเราออมเงินเดือนละ 1,000 บาท ปีนึงก็จะออมเงินได้ 12,000 บาท แล้วเราก็เอาเงินไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10% เมื่อ 1 ปีผ่านไปโดยทั่วไปเงินเดือนเราก็จะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 5% เราก็ปรับเงินออมเราเพิ่มขึ้นตามเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น 5% ด้วย จากออมปีละ 12,000 บาทเป็น 12,600 บาท เราก็จะมีเงินออมมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น ถ้าเราทำแบบนี้ไปเป็นระยะเวลา 20 ปี รู้หรือไม่ว่าสุดท้ายแล้วเราจะมีเงินเท่ากับ 1,075,424 บาท !! เรียกได้ว่าจับเงินล้านด้วยการเริ่มต้นออมเดือนละ 1,000 บาทเท่านั้นเอง
ไม่ว่าจะเก็บเงิน 10,000 บาท 100,000 บาทหรือว่าเงิน 1,000,000 บาท !! ก็เริ่มต้นจากบาทแรกด้วยกันทั้งนั้น อย่ามองว่าตอนนี้ไม่มีหรือตอนนี้มีน้อย เราต้องค่อยเก็บ เก็บไปเรื่อย ๆ อย่างมีวินัย แล้วก็รู้จักใช้ประโยชน์จาก “ดอกเบี้ยทบต้น” ก็ช่วยทำให้เราเก็บเงินได้เร็วมากขึ้น